วันที่ 1 | กรุงเทพฯ(สนามบินสุวรรณภูมิ) - บาห์เรน - มัสยิดAl Fateh - ป้อมปราการบาห์เรนQal’at al–Bahrain - ประตูสู่บาห์เรน (Bab al Bahrain) - ช้อปปิ้งตลาดพื้นเมือง Manama Souq - สนามบินบาห์เรน |
---|---|
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 1 | |
08.00 น. | คณะพร้อมกันที่ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ บริเวณผู้โดยสารขาออก ชั้น4 ประตู9เคาน์เตอร์Uเคาน์เตอร์เช็คอิน สายการบิน GULF AIR (GF) เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินรับบัตรโดยสาร *หมายเหตุ**เคาน์เตอร์เช็คอินจะปิดบริการก่อนเวลาเครื่องออกอย่างน้อย 60 นาทีและผู้โดยสารพร้อมณประตูขึ้นเครื่องก่อนเวลาเครื่องออก 30 นาที เที่ยวบินทั้งไปและกลับ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเวลาทำการบินทั้งนี้เป็นไปตามกฎและตารางบินของแต่ละซีซั่นแตกต่างกันออกไป ก่อนทำการออกตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ กรุณาสอบถามข้อมูลกับทางบริษัท ก่อนทุกครั้ง |
11.00 น. | บินลัดฟ้าสู่ บาห์เรน โดย สายการบิน GULF AIR เที่ยวบินที่ GF153 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) ใช้เวลาเดินทางประมาณ6ชั่วโมง45 นาที |
14.40 น. | เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติบาห์เรน ประเทศบาห์เรน(เวลาท้องถิ่นช้ากว่าไทย4ช.ม.กรุณาปรับนาฬิกาของท่านเป็นเวลาท้องถิ่นเพื่อสะดวกในการนัดหมาย) หลังผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและรับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนำท่านเข้าชม มัสยิด Al Fateh หนึ่งในมัสยิดที่ขึ้นชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลกที่ถูกตั้งชื่อตามกษัตริย์ผู้สร้างเมือง ‘Ahmed Al Fateh’ เป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1987 และเป็นมัสยิดที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุชั้นเลิศที่รวบรวมมาจากทั่วโลกอาทิเช่นลูกแก้วตกแต่งบนพื้นจากอิตาลีโคมไฟจากออสเตรียหรือแม้แต่ประตูไม้สุดอลังการที่ทำจากอินเดียซึ่งนอกจากจะเป็นมัสยิดที่เป็นจุดศูนย์รวมดวงใจของชาวบาห์เรนแล้วในปี 2006 มัสยิดแห่งนี้ยังถูกประกาศให้เป็นหอสมุดแห่งชาติอีกด้วย *** หมายเหตุ : หากวันเวลาดังกล่าวทางมัสยิดมีกิจกรรมทางศาสนาหรือมีประกาศห้ามเข้าชมภายในมัสยิดด้วยเหตุผลใดก็ตามขอสงวนสิทธิ์ยกเลิกการเข้าชมและทางคณะทัวร์จะให้ท่านได้ฟังบรรยายและการถ่ายรูปจากภายนอกมัสยิดเท่านั้น จากนั้นเราจะพาท่านไปสัมผัสเรื่องราวประวัติศาสตร์ 5,000 ปีที่ ป้อมปราการบาห์เรน (Qal’at al-Bahrain)หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า ‘Bahrain Fort’ แหล่งอารยธรรมโบราณที่นักโบราณคดีคาดว่ามันถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 2,300 ปีก่อนคริสตศักราชซึ่งในอดีตมันเคยเป็นทั้งที่พำนักของกษัตริย์ป้อมปราการสำหรับป้องกันเมืองจากข้าศึกและยังเป็นสถานที่ๆชาวสุเมเรี่ยนเชื่อว่าเป็นจุดนัดพบเพื่อเข้าถึงพระเจ้าและที่ป้อมปราการแห่งนี้ท่านจะได้เห็นความน่ามหัศจรรย์ใจของภูมิปัญญาในการก่อสร้างป้อมปราการขึ้นมาจากหินจนมีความแข็งแกร่งมานานนับพันปีที่แม้แต่นักโบราณคดีก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO World Heritage Site ในปี ค.ศ.200 จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าชม ประตูสู่บาห์เรน (Bab al Bahrain) ออกแบบโดยSir Charles Belgrave ที่ปรึกษาเจ้าผู้ครองรัฐบาห์เรนเพื่อเป็นทางเข้าไปสู่ตลาดมานามาซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญและแหล่งจับจ่ายของท้องถิ่นสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อค.ศ. 1945 และได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมในปีค.ศ. 1986 เพื่อปรับเปลี่ยนให้มีรูปร่างเป็นสถาปัตยกรรมอิสลามมากขึ้น จากนั้นเราจะพาท่านไปเปิดประตูสู่วัฒนธรรมวิถีชีวิตการเป็นอยู่ของชาวบาห์เรนที่ตลาดพื้นเมือง Manama Souq ตลาดขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวเมืองซึ่งที่นี่ท่านจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นอย่างเป็นกันเองพร้อมช็อปปิ้งของฝากอันเป็นเอกลักษณ์จากประเทศบาห์เรนและลิ้มรสอาหารพื้นเมืองขนานแท้ที่หาชิมที่ไหนไม่ได้ในโลกนี้นอกจากที่นี่เท่านั้น!! จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติบาห์เรน เพื่อนำท่านเดินทางต่อไปยัง เมือง อิสตันบูล ประเทศตุรกี |
21.05 น. | บินลัดฟ้าสู่ เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีโดยสายการบิน GULF AIR เที่ยวบินที่ GF045 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง20 นาที |
01.25 น. | เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติอิสตันบูล ประเทศตุรกี (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าไทย 4 ช.ม.กรุณาปรับนาฬิกาของท่านเป็นเวลาท้องถิ่นเพื่อสะดวกในการนัดหมาย) หลังผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและรับสัมภาระเรียบร้อยแล้วจากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก |
ที่พัก | GOLDEN WAY ระดับ4 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่ 2 | อิสตันบูล - บูร์ซา - ตลาดผ้าไหมบูร์ซา - สุเหร่าสีเขียว - คูซาดาซึ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 2 | |
เช้า | บริการอาหารเช้าณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านออกเดินทางสู่ บูร์ซา (Bursa) (ระยะทางประมาณ166กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ3 ชั่วโมง) มีประชาการอาศัยอยู่ประมาณ 1.5 ล้านคนมีความสาคัญและใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศและเมืองนี้ยังมีชื่อเสียงทางด้านเส้นไหมเพื่อส่งออกไปตลาดต่างๆ ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนาไปทอเป็นพรมในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรออตโตมาน ตั้งแต่ปีค.ศ.1326-1362 และ จากนั้นได้ย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่เอเดอเน ที่อยู่ทางด้านเหนือของกรุงคอนสแตนดิโนเปิล นำท่านเดินทางสู่ ตลาดผ้าไหมบูร์ซา (Bursa Silk Market) ตลาดผ้าไหมเมืองบูร์ซาที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี ซึ่งอยู่ไม่จากทะเลมาร์มามากนัก โดยตลาดแห่งนี้ค้าขายผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมเป็นหลัก โดยเฉพาะผ้าคลุมศีรษะลวดลายพื้นเมืองจะขายดีเป็นพิเศษ อันเนื่องมาจากตุรกีเป็นประเทศที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากอีกหนึ่งประเทศ ซึ่งนอกจากผ้าคลุมแล้วก็ยังมีเสื้อผ้าหลากหลายแบบ และด้วยสีสันของผ้าไหมที่สดใสนี่เองที่ทำให้ตลาดแห่งนี้กลายเป็นตลาดที่สวยงามที่สุด ครั้งหนึ่งสมเด็จพระนางเจ้า ควีนอลิซาเบท แห่งอังกฤษเคยมาเยือนที่แห่งนี้ด้วย |
เที่ยง | บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านชม สุเหร่าสีเขียว (Green Bursa Mosque) ภายในจะพบกับผลงานอันละเอียดอ่อน และประณีตของงานกระเบื้องประดับที่มีสีสันลวดรายที่ละเอียด และซับซ้อนอย่างพิสดาร ทั้งลายรูปวงกลม รูปดาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม และรูปเรขาคณิต ให้ท่านได้ชมความสวยงามของตัวเมืองที่ในอดีตกษัตริย์ที่เคยปกครองอาณาจักรออตโตมาน ได้ใช้เมืองนี้เป็นที่ฝังศพ และนอกจากนั้นยังถูกตกแต่งให้เป็นสวนที่สวยงามร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่เขียวชอุ่มเป็นจำนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีสีเขียว (Green Bursa) สุสานสีเขียว (Green Tomb) สุเหร่าสีเขียว หรือ Yesil Mosque สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ที่มีความสวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองเบอร์ซา ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1491 - 1421 โดยสถาปนิก ชื่อ Haci Ivaz Pasa โดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเบอร์ซา อาคารสุเหร่ามีความโดดเด่นด้วยการใช้กระเบื้องหินอ่อนสีฟ้าเขียวในการตกแต่ง ผนังและเพดานด้านในก็ถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสคสีฟ้าเขียวเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ภายในสุเหร่าแห่งนี้ยังมีที่บรรจุศพของสุลต่านเมห์เมดที่ 1 และครอบครัว สถานที่แห่งนี้จึงถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าของประเทศ นำท่านออกเดินทางสู่ คูซาดาซึ (Kusadasi)(ระยะทางประมาณ408กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ5ชั่วโมง) |
ค่ำ | บริการอาหารเย็น ณ ห้องอาหารของโรงแรม |
ที่พัก | ROYAL PALACE KUSADASI ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่ 3 | เมืองโบราณเอเฟซุส - บ้านพระแม่มารี - ห้องสมุดของเซลซุส - วิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน - โรงละครโบราณ - ศูนย์ผลิตเครื่องหนัง - ปามุคคาเล่ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 3 | |
เช้า | บริการอาหารเช้าณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองเอเฟซุส (Ephesus) เข้าชมเมืองโบราณเอฟฟิซุส (City of Ephesus) เมืองโบราณที่มีการบำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดีเมืองหนึ่งเคยเป็นที่อยู่ของชาว Lonia จากกรีกซึ่งอพยพเข้ามาปักหลักสร้างเมืองซึ่งรุ่งเรืองขึ้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์กาลต่อมาถูกรุกรานเข้ายึดครองโดยพวกเปอร์เซียและกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชภายหลังเมื่อโรมันเข้าครอบครองก็ได้สถาปนาเอฟฟิซุสขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมัน เข้าชม บ้านพระแม่มารี (House of Virgin Mary)เชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีมาอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้างหลังนี้ถูกค้นพบโดยแม่ชีตาบอดชาวเยอรมันชื่อแอนนาแคเทอรีนเอมเมอริช Anna Catherine Emmerich เมื่อปีค.ศ. 1774-1824 ได้เขียนบรรยายสถานที่ไว้ในหนังสืออย่างละเอียดราวกับเห็นด้วยตาตนเองปัจจุบันบ้านพระแม่มารีได้รับการบูรณะเป็นบ้านอิฐชั้นเดียวภายในมีรูปปั้นของพระแม่มารีซึ่งพระสันตปาปาโป๊ปเบเนดิกส์ที่ 6 ได้เคยเสด็จเยือนที่นี่บริเวณด้านนอกของบ้านมีก๊อกน้ำสามก๊อกที่เชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องสุขภาพความร่ำรวยและความรักถัดจากก๊อกน้ำเป็นกำแพงอธิษฐาน เชื่อว่าหากต้องการให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นความจริงให้เขียนลงในผ้าฝ้ายแล้วนำไปผูกไว้แล้วอธิษฐาน ชมอาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของ นครเอฟฟิซุส ได้แก่ห้องสมุดของเซลซุส (Library of Celsus) และอาคารสำคัญอีกแห่งคือวิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน (Temple of Hadrian) สร้างขึ้นถวายแด่จักรพรรดิเฮเดรียนความโดเด่นของวิหารแห่งนี้คืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากจากนั้นปิดท้ายกันที่สิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในนครเอฟฟิซุสคือโรงละคร Great Theatre ซึ่งสร้างโดยสกัดเข้าไปในไหล่เขาให้เป็นที่นั่งเป็นโรงละครกลางแจ้งที่สามารถจุผู้ชมได้กว่า 30,000 คนสร้างในสมัยกรีกโบราณแต่ชาวโรมันมาปรับปรุงให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นซึ่งยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบันนี้ จากนั้นนำท่านช้อปปิ้ง ณ ศูนย์ผลิตเครื่องหนัง (Leather Factory)ซึ่งตุรกีเป็นประเทศที่ผลิตหนังที่มีคุณภาพที่สุดเป็นประเทศที่มีฐานการผลิตเครื่องหนังคุณภาพสูงที่สุดอันดับต้นๆของโลกอีกทั้งยังผลิตเสื้อหนังส่งให้กับแบรนด์ดังในอิตาลีเช่นVersace , Prada , Michael kors อิสระให้ท่านเลือกซื้อสินค้าได้ตามอัธยาศัย |
เที่ยง | บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองปามุกคาเล่ (Pamukkale) (ระยะทางประมาณ 192 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) เมืองที่มีน้ำพุเกลือแร่ร้อนไหลทะลุขึ้นมาจากใต้ดินผ่านซากปรักหักพังของเมืองเก่าแก่สมัยกรีกก่อนไหลลงสู่หน้าผาจนเกิดผลึกกึ่งสถาปัตยกรรมสีขาวขึ้นสวยงามแปลกตา นำท่านชม ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ คำว่า “ปามุคคาเล่”ในภาษาตุรกีหมายถึง “ปราสาทปุยฝ้าย” Pamuk หมายถึง ปุยฝ้ายและ Kale หมายถึงปราสาทเป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นที่มีแร่หินปูน (แคลเซี่ยมออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมากไหลรินลงมาจากภูเขา “คาลดากึ”ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือรินเอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดินและทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้วเป็นแอ่งเป็นชั้นลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศเกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติอันสวยงามแปลกตาและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยากจะหาที่ใดเหมือนในโลกจนทำให้ปามุคคาเล่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปีค.ศ. 1988 |
ค่ำ | บริการอาหารเย็น ณ ห้องอาหารของโรงแรม |
ที่พัก | NINOVA THERMAL HOTEL ระดับ4*หรือเทียบเท่า |
วันที่ 4 | ปราสาทปุยฝ้าย - นครโบราณเฮียราโปลิส - เมืองคัปปาโดเกีย - ระบำหน้าท้อง |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 4 | |
เช้า | บริการอาหารเช้าณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเข้าชม ปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle) เมืองแห่งน้ำพุเกลือแร่ร้อน นำท่านชม หน้าผาที่ขาวกว้างใหญ่ ด้านข้างของอ่างน้ำเป็นรูปร่างคล้ายหอยแครงและน้ำตกแช่แข็งถ้ามองดูจะดูเหมือนสร้างจากหิมะเมฆหรือปุยฝ้ายน้ำแร่ที่ไหลลงมาแต่ละชั้นจะแข็งเป็นหินปูนห้อยย้อยเป็นรูปร่างต่างๆอย่างมหัศจรรย์น้ำแร่นี้มีอุณหภูมิประมาณ 33-35 องศาเซลเซียสประชาชนจึงนิยมไปอาบหรือนำมาดื่มเพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคหัวใจโรคไขข้ออักเสบความดันโลหิตสูงโรคทางเดินปัสสาวะและโรคไตในอดีตกาลชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนสามารถรักษาโรคได้ จากนั้นนำท่านเข้าชม นครโบราณเฮียราโปลิส (Hierapolis) นครเฮียราโปลิสในสมัยก่อนนั้นเชื่อกันว่าเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ด้วยชื่อว่าเฮียรา (Hiera) ที่แปลว่าศักดิ์สิทธิ์ (Holy) และโปลิส (Polis) ที่แปลว่านคร (City) ซึ่งก่อตั้งโดยกษัตริย์ยูเมเนสที่สองแห่งแพอร์กามุม นอกจากนี้ท่านยังชมสถานที่สำคัญอื่นๆได้แก่พิพิธภัณฑ์ปามุคคาเล่ (Pamukkale Museum) โรงอาบน้ำโรมัน (The Baths) ซากโบสถ์สมัยไบแซนไทน์ฐานวิหารอะพอลโล (Temple of Apollo) และโรงมหรสพโรมัน (The Theatre) เป็นต้น |
เที่ยง | บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) (ระยะทาง602กิโลเมตรใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง โดยประมาณ) คัปปาโดเกีย เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งในตุรกีชื่อเมืองมาจากรากศัพย์ภาษาเปอร์เซียว่าคัตปาตุกามีความหมายว่าดินแดนที่มีม้าแสนสวย ตัวเมืองสามารถมองเห็นทั้งทะเลดำและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ทั้งสองเมืองคัปปาโดเกียดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์แปรสภาพเป็นหุบเขาร่องลึกเนินเขากรวยหินและเสารูปทรงต่างๆที่งดงามตั้งอยู่ทางตอนกลางของตุรกีเป็นพื้นที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยสและภูเขาไฟฮาซานเมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้วเถ้าลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายทั่วบริเวณจนทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมาจากนั้นกระแสน้ำลมฝนแดดและหิมะกัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟนับแสนนับล้านปีจนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวงที่เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวยปล่องกระโจมโดมและอีกสารพัดรูปทรงดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยายจนผู้คนในพื้นที่เรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า”ในปีค.ศ.1985 ยูเนสโกได้ประกาศให้พื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี |
ค่ำ | บริการอาหารเย็น ณห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นนำท่านชม โชว์ระบำหน้าท้อง (Belly dance) เพลิดเพลินไปกับการแสดงระบำหน้าท้องในชื่อ Cappadocia Turkish การแสดงระบำที่ที่สืบทอดกันมายาวนานและเก่าแก่ที่สุดของโลกเลยก้ว่าได้แรกเริ่มการระบำหน้าท้องนั้นเกิดขึ้นในอียิปต์โบราณและแพร่กระจายไปยังตะวันออกกลางในอียิปต์โบราณผู้หญิงมักเต้นรำเพื่อเฉลิมฉลองชีวิตที่มีแต่ความสุข |
ที่พัก | MUSTAFA HOTEL ระดับ4 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่ 5 | เมืองคัปปาโดเกีย - นครใต้ดินชาดัค - เกอเรเม่ - พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ - หุบเขาอุซิซาร์ - โรงงานทอพรม - โรงงานเซรามิก&เครื่องประดับเมืองอังการ่า |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 5 | |
เช้าตรู่ | **ท่านที่สนใจนั่งบอลลูนสามารถติดต่อแจ้งความประสงค์ได้ที่ไกด์อัตราค่าบริการไม่รวมอยู่ในราคาทัวร์ (Optional Tour) ** บอลลูนทัวร์ (Balloon Tour) ** สำหรับท่านที่สนใจขึ้นบอลลูนชมความสวยงามของเมืองคัปปาโดเกียโปรแกรมเสริมพิเศษจำเป็นต้องออกจากโรงแรมประมาณ 04.30–05.00 น. โดยมีรถท้องถิ่นมารับไปขึ้นบอลลูนเพื่อชมความสวยงามของเมืองคัปปาโดเกียในอีกมุมหนึ่งที่หาชมได้ยากใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมไปขึ้นบอลลูนประมาณ 30–45 นาทีอยู่บนบอลลูนประมาณ 1 ชั่วโมงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการขึ้นบอลลูนท่านละประมาณ 250–300 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ (USD)ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและช่วงเวลา ข้อควรทราบ: - กรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุที่รวมอยู่ในโปรแกรมทัวร์ไม่ครอบคลุมกิจกรรมเสริมการขึ้นบอลลูนและเครื่องร่อนทุกประเภทดังนั้นกิจกรรมขึ้นอยู่การรับผิดชอบในชีวิตและทรัพย์สินของท่านเอง |
เช้า | บริการอาหารเช้าณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเข้าชม นครใต้ดินไคมัคลีหรือนครชาดัค (Underground City of Derinkuyu or Kaymakli) เกิดจากการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจาก เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากชาวโรมันที่ต้องการทำลายล้างพวกนับถือศาสนาคริสต์ นครไคมัคลีมีชั้นล่างที่ลึกที่สุดลึกถึง 85 เมตร เมืองใต้ดินแห่งนี้มีครบเครื่องทุกอย่างทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯบางห้องเป็นห้องโถงกว้างว่ากันว่าสามารถจุคนได้มากกว่า 30,000 คน |
เที่ยง | บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมืองเกอเรเม่ (Goreme) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณของเมืองคัปปาโดเกียในตอนกลางของอานาโตเลียประเทศตุรกีเมืองเกอเรเม่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่สมัยโรมันและเป็นที่ที่ชาวคริสเตียนยุคแรกใช้ในการเป็นที่หลบหนีภัยจากการไล่ทำร้ายและสังหารก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเป็นศาสนาที่ได้รับการประกาศว่าเป็นศาสนาของจักรวรรดิที่จะเห็นได้จากคริสต์ศาสนสถานจำนวนมากมายที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านการทอพรมและการผลิตเครื่องเซรามิกล้ำค่าแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Open Air Museum of Goreme) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การสหประชาชาติหรือยูเนสโกเมื่อปีค.ศ. 1985 เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วงค.ศ.9ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์และยังเป็นการป้องกันการรุกรานของชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์นำท่านชมโบสถ์เซนต์บาร์บารา(St. Barbar Church) ,โบสถ์มังกร(Snake Church)และโบสถ์แอปเปิ้ล(Apple Church) นำท่านเดินทางสู่ หุบเขาอุซิซาร์ (Uchisar Valley)หุบเขาคล้ายจอมปลวกขนาดใหญ่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยซึ่งหุบเขาดังกล่าวมีรูพรุนมีรอยเจาะรอยขุดอันเกิดจากฝีมือมนุษย์ไปเกือบทั่วทั้งภูเขาเพื่อเอาไว้เป็นที่อยู่อาศัยและถ้ามองดีๆจะรู้ว่าอุซิซาร์คือบริเวณที่สูงที่สุดของบริเวณโดยรอบดังนั้นในอดีตอุซิซาร์ก็มีไว้ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเอาไว้สอดส่องข้าศึกยามมีภัยอีกด้วยจากนั้นอิสระให้ท่านได้ถ่ายภาพบ้านพื้นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ จากนั้นให้ท่านได้แวะชม โรงงานทอพรม (Carpet Factory), โรงงานเซรามิก (Ceramic Factory) และ โรงงานเครื่องประดับ (Jewelly Factory) เพื่อให้ท่านได้ชมการสาธิตกรรมวิธีการผลิตสินค้าพื้นเมืองที่มีคุณภาพและชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอิสระให้ท่านได้เลือกซื้อสินค้าได้ตามอัธยาศัยสมควรแก่เวลา นำท่านออกเดินทางไปยัง กรุงอังการา Ankara (ระยะทาง287 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ4 ชั่วโมง) กรุงอังคาราถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเมืองอิสตันบูล (Istanbul) กรุงอังการาเป็นศูนย์กลางการปกครองของผู้นำประเทศคนแรกคือท่านประธานาธิบดี Mustafa Kemal Atatürk หรือ Atatürk’s headquarters ตั้งแต่ปีค.ศ. 1920 และได้ก่อตั้งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐตุรกีนับตั้งแต่การก่อตั้งประเทศในปีค.ศ. 1923 แทนเมืองอิสตันบูลหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมากรุงอังการาก็กลายเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์การศึกษาและอุตสาหกรรมที่สำคัญของตุรกี |
ค่ำ | บริการอาหารเย็น ณห้องอาหารของโรงแรม |
ที่พัก | SERGAH HOTEL ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่ 6 | อังการ่า - อิสตันบูล - ล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส - ตลาดสไปซ์มาร์เก็ต - พระราชวังโดลมาบาเช - ย่านทักซิมสแควร์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 6 | |
เช้า | บริการอาหารเช้าณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านออกเดินทางจาก กรุงอังราคา สู่ กรุงอิสตันบูล (Istanbul) (ระยะทาง450 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทาง5ชั่วโมง โดยประมาณ) ให้ท่านได้พักผ่อนและชมทัศนียภาพระหว่างทาง |
เที่ยง | บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | จากนั้นนำท่านล่องเรือชม ช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus Cruise)ซึ่งเป็นช่องแคบที่เชื่อมทะเลดำ (The Black Sea) เข้ากับทะเลมาร์มาร่า (Sea of Marmara) ความยาวทั้งสิ้น ประมาณ 32 กิโลเมตร ความกว้างตั้งแต่ 500 เมตร จนถึง 3 กิโลเมตร ถือว่าสุดขอบของทวีปยุโรปและสุดขอบของทวีปเอเชียมาพบกันที่นี่ นอกจากความ สวยงามแล้ว ช่องแคบบอสฟอรัสยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในการป้องกันประเทศตุรกีอีกด้วยขณะล่องเรือท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทางไม่ว่าจะเป็ นพระราชวังโดลมาบาชเช่หรือบ้านเรือนสไตล์ยุโรปของบรรดาเศรษฐี ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามตระการตาทั้งสิ้น นำท่านเดินทางสู่ ตลาดสไปซ์ มาร์เก็ต (Spice Market)หรือตลาดเครื่องเทศ ท่านสามารถเลือกซื้อของฝากได้ในราคาย่อมเยา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ชาหรือกาแฟ รวมถึงผลไม้อบแห้งอันขึ้นชื่อของตุรกี อย่าง แอปริคอท หรือจะเป็นถั่วพิทาชิโอ ซึ่งมีให้เลือกซื้อมากมาย นำท่านเข้าชม พระราชวังโดลมาบาเช (Dolmabahce) ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างถึง 12 ปี ผสมผสานศิลปะแบบพระราชวังยุโรปกับแบบอาหรับอย่างสวยงาม ชมโคมไฟระย้าขนาดใหญ่น้ำหนักถึง 4.5 ตัน เครื่องแก้วเจียระไน และพรมทอผืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นำท่านออกเดินทางสู่ ย่านทักซิมสแควร์ (Taksim Square)ย่านช้อปปิ้งชื่อดังของอิสตันบูลูซึ่งเปรียบได้ดั่งสยามสแควร์บ้านเรา แหล่งรวมสินค้าแบรนด์เนมท้องถิ่นและระดับโลก แต่กว่าจะเป็นย่านคึกคักที่เราเห็นในทุกวันนี้ ทักซิมสแควร์เคยเป็นทั้งอ่างเก็บน้ำเก่าแก่ ค่ายทหารปืนใหญ่ทักซิม |
ค่ำ | บริการอาหารเย็น ณภัตตาคาร หรือห้องอาหารของโรงแรม |
ที่พัก | GOLDEN WAY HOTEL ระดับ4*หรือเทียบเท่า |
วันที่ 7 | ฮิปโปโดม - สุเหร่าสีน้ำเงิน - สุเหร่าเซนต์โซเฟีย - อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน - พระราชวังทอปกาปึ - แกรนด์บาซาร์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 7 | |
เช้า | บริการอาหารเช้าณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ จัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultan Ahmed Complex)มีชื่อเรียกโบราณคือ ฮิปโปโดม (Hippodrome) ตั้งอยู่หน้าสุเหร่าสีน้ำเงิน เดิมเป็นลานแข่งรถม้าและศูนย์กลางเมืองในยุคไบแซนไทน์ นำท่านเข้าชม สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทางศาสนา ที่มีความสวยงามแห่งหนึ่ง ชื่อนี้ได้มาจากกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินที่ใช้ปูตลอดแนวฝาผนังด้านใน และถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ ซึ่งเคยเป็นวังของจักรพรรดิไบเซนไทน์ โดยสุลต่านอาห์เหม็ตที่ 1 ค.ศ. 1609 ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 7 ปี การเข้าชมสุเหร่า ผู้เข้าชมจะต้องถอดรองเท้าถอดหมวกถอดแว่นตาดำเป็นการเคารพสถานที่ถ่ายรูปได้ห้ามส่งเสียงดังและกรุณาทำกิริยาให้สำรวม นำท่านเข้าชม สุเหร่าเซนต์โซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia) หรือชื่อในปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ฮาเยียโซเฟีย (Ayasofya Museum)เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา นิกายออร์โธดอกส์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง และ ถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง จุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมขนาดมหึมากลางวิหาร และนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ |
เที่ยง | บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเข้าชม อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน (Yerebatan Saray or The Underground Cistern)ซึ่งเป็นอุโมงค์เก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในนครอิสตันบูล สามารถเก็บน้ำได้มากถึง 88,000 ลูกบาศก์เมตร สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 กว้าง 70 เมตร ยาว 140 เมตร ลึก 8 เมตร ภายในอุโมงค์มีเสากรีกต้นสูงใหญ่ค้ำเรียงรายเป็นแถวถึง 336 ต้น และมีเสาต้นที่เด่นมากคือ เสาเมดูซ่า อิสระให้ท่านถ่ายรูปและชมความงามใต้ดินของอุโมงค์เก็บน้ำขนาดใหญ่ จากนั้นให้ท่านได้แวะชม โรงงานทอพรม และ โรงงานเซรามิค นำท่านเข้าชม พระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace)ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ประทับของสุลต่านแห่งราชวงศ์ออตโตมัน ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปิกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บมหาสมบัติอันล้ำค่าอาทิ เช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านฯลฯ นำท่านเดินทางสู่ ตลาดในร่ม (Kapali Carsisi หรือCovered Bazaar) หรือแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar)เป็นตลาดเก่าแก่ สร้างครั้งแรกในสมัยสุลต่านเมห์เม็ดที่ 2 เมื่อปี ค.ศ. 1461 ตลาดนี้กินเนื้อที่กว่า 2 แสนตารางเมตร ประกอบด้วยร้านค้ากว่า 4,000 ร้าน ขายของสารพัด ตั้งแต่ทองหยอง เครื่องประดับ พรม เครื่องเงิน เครื่องหนัง กระเบื้อง เครื่องทองแดง ทองเหลือง สินค้าหัตถกรรม ของที่ระลึก ฯลฯ ที่นี่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงตั้งราคาสินค้าเอาไว้ค่อนข้างสูง ควรต่อรองราคาให้มาก |
ค่ำ | บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร หรือห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติอิสตันบูล นำท่านเช็คอินเพื่อเดินทางกลับสู่ ประเทศไทยโดยแวะเปลี่ยนเที่ยวบินที่ประเทศบาห์เรน |
วันที่ 8 | อิสตันบูล - บาห์เรน - กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 8 | |
02.25 น. | บินลัดฟ้าสู่ บาห์เรน โดย สายการบิน GULF AIR เที่ยวบินที่ GF046 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง 45 นาที |
06.15 น. | เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติบาห์เรน ประเทศบาห์เรน จากนั้นให้ท่านเปลี่ยนเที่ยวบินเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศไทย |
09.00 น. | บินลัดฟ้าสู่ กรุงเทพฯ (สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ) ประเทศไทยโดย สายการบิน GULF AIR เที่ยวบินที่ GF150 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง 30 นาที |
20.10 น. | เดินทางถึง สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ประเทศไทยโดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ |
Address
53/286 Soi Nawamin 105, Nawamin Road, Nawamin, Bueng Kum, Bangkok 10240
จันทร์ - ศุกร์ : 09.00 - 18.00 น.
Contact Us
Hotline : 081-873-6566, 099-191-9288
Social Network
Facebook : @DoubleEnjoyTravel
Line : @DoubleEnjoy
Instagram : @DoubleEnjoy
Youtube : Double Enjoy Travel