วันที่ 1 | กรุงเทพฯ - มัณฑะเลย์ - เมืองอังวะ - วิหารมหาอ่องมเยบองซาน - ผ่านชมหอคอยอังวะ - วัดบากะยา - มัณฑะเลย์ |
---|---|
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 1 | |
09.30 น. | คณะพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 4 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ เคาท์เตอร์ F ซึ่งมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยอำนวยความสะดวกเรื่องสัมภาระและเอกสารการเดินทาง |
11.55 น. | ออกเดินทางโดย สายการบิน บางกอกแอร์เวย์ โดยเที่ยวบินที่ PG 709 (บริการอาหารบนเครื่อง) |
13.20 น. | ถึง สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง (เวลาท้องถิ่นที่เมียนมาร์ช้ากว่า ประเทศไทย 30 นาที) เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่า ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เมืองที่ยังคงใช้ ชื่อเดิมเรื่อยมาไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตั้งอยู่บนที่ราบอันแห้งแล้งและเขตทำนาปลูกข้าวตามแนวลำน้ำเอยาวดีตอนบน มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน อากาศร้อน (ยกเว้น ช่วงฤดูหนาว ธันวา –กุมภา) ปัจจุบันมัณฑะเลย์ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีนาฎศิลป์และคีตศิลป์ดีที่สุดในพม่า จากนั้นนำท่านข้ามเรือสู่ เมืองอังวะ ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของพม่าถึง 5 ครั้ง ในช่วง 360 ปีระหว่าง ค.ศ. 1365 ถึง ค.ศ. 1842 ทั้งในสมัยราชวงศ์อังวะ ราชวงศ์ตองอู และ ราชวงศ์อลองพญา เมืองอังวะมีทำเลที่ตั้งเป็นเมืองเกาะคล้ายกรุงศรีอยุธยาในหน้าน้ำจะเข้าถึงอังวะได้ทางเดียวคือทางเรือ ให้ทุกท่านได้ นั่งรถม้า เพื่อท่องเที่ยวชมความสวยงามของเมืองอังวะ นำท่านชม วิหารมหาอ่องมเยบองซาน หรือ เมห์นู อ๊อกคยัง อันมาจากชื่อของพระนางเมห์นู มเหสีของพระเจ้าพะคยีดอว์ ผู้เป็นยายของพระนางศุภยลัต พระราชินีองค์สุดท้ายของพม่า ส่วน ‘อ๊อกคยัง’ หมายถึงวัดที่สร้างด้วยปูน วัดใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยปูนตามแบบโครงสร้างไม้ดั้งเดิมที่พังทลายลงในในช่วงแผ่นดินไหวในปี พ.ศ.2381 โครงสร้างดั้งเดิมนั้นว่ากันว่าสวยอลังการมาก มีหอสวดมนต์ที่มีหลังคาซ้อนสูงมากมายถึง 7 ชั้นเคยเสียหายหนักเมื่อตอนแผ่นดินไหว พระนางชินพยูมะสินพระธิดาของพระนางเมห์นู โปรดให้บูรณะขึ้นมาใหม่ภายหลัง จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่ วัดบากะยา สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๖ ในสมัย พระเจ้าพะคยีดอว์ หรือ ‘พระเจ้าจักกายเมง’ กษัตริย์องค์ที่ 7 ของราชวงศ์คองบองอยู่นอกกรุงอังวะทางทิศใต้ แกะสลักจากไม้สักทั้งหลัง ภายในวัดนี้มีเสามากถึง 267 ต้น ยอดหลังคามีหลายชั้น ฝีมือและลวดลายการสลักไม้ในวัดบากายานี้ถือว่าล้ำค่ามากเมื่อเทียบกับวัดอื่นๆในพม่า ซึ่งเป็นงานแกะสลักแบบสกุลช่างอยุธยา สังเกตุได้จาก ‘ครุฑยุดนาค’ ที่มีพลังเหมือนจะกระโจนบิน สัณนิษฐานว่า ชาวอังวะปัจจุบันคือ กลุ่มคนสยามที่ถูกกวาดต้อนมาตอนกรุงศรีอยุธยาแตกพ่าย ชาวพม่า เรียกคนอยุธยากลุ่มนี้ว่า ชาวโยเดีย วัดแห่งนี้ยังไม่ได้รับการบูรณะ ดังนั้นหากใครอยากเห็นวัดไม้ขนาดใหญ่ฝีมือดั้งเดิมให้รีบไปเยือนเสียโดยเร็ว ได้เวลาอันสมควรนำท่านข้ามเรือกลับสู่เมืองมัณฑะเลย์ |
ค่ำ | รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร |
พักที่ | ณ SHWE PHYU HOTEL ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่ 2 | มัณฑะเลย์ - สะพานไม้อูเป่ง - วัดมหากันดายงค์ - พระราชวังไม้สักชเวนานจอง - มิงกุน - เจดีย์มิงกุน - ระฆังมิงกุน - เจดีย์ชิวพินมิน - มัณฑะเลย์ฮิลล์ - วัดกุโสดอว์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 2 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นนำท่านสู่ ทะเลสาบต่าวตะหมั่น ระดับน้ำในทะเลสาบจะมีน้ำขึ้นเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาล ช่วงฤดูหนาว น้ำจะแห้งกลายเป็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับทำการเพาะปลูก ในช่วงนั้น ชาวบ้านจึง มีการทำการเพาะปลูก หลายชนิด เช่น ข้าวโพด ข้าว แม้แต่ดอกทานตะวันก็ดูสวยงามในฤดูหนาว เหนือท้อง น้ำมีสะพานไม้ ทอดข้ามทะเลสาบ 1.2 กิโลเมตร เรียกว่า สะพานไม้อูเป่ง สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก สร้างขึ้นหลังจากที่ย้ายราชธานีมาอยู่ที่อมรปุระ เป็นสะพานไม้สักที่นำมาจากเมืองอังวะ โดยเสนาบดีของพระเจ้าโบ่ต่อพญา ชื่อว่า เสาอู จึงเรียกชื่อสะพานไม้นี้ ตามชื่อ คือ อู่เป่ง เสาของสะพานใช้ไม้สักถึง 1,208 ต้น ซึ่งมีอายุกว่า 200 ปี นำท่านทำบุญถวายปัจจัย ตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 1,400 รูป ณ วัดมหากันดายงค์ ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของพม่าที่เมืองอมรปุ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบตองตะมาน ใกล้สะพานอูเบ็ง และเป็นวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของพม่า มีภิกษุและสามเณรมาศึกษาเล่าเรียนทางธรรมกว่า 1,200 คน และมีพระภิกษุจาก ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ มาบวชเรียนด้วย ซึ่งในช่วงเพลาจะมีภิกษุสงฆ์นับร้อยรูปเดินเรียงแถวด้วยอาการสำรวมเพื่อรับบาตร นำทุกท่านเยี่ยมชม พระราชวังไม้สักชเวนานจอง วังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง งดงามตามศิลปะพม่าแท้ๆ วิจิตรตระการตา ด้วยลวดลายแกะสลักประณีต อ้อนช้อย ทั้งหลังคา บานประตู และ หน้าต่าง โดยเน้นรายละเอียดเกี่ยวกับพุทธประวัติและทศชาติของพระพุทธเจ้า สร้างโดยพระเจ้าเมียงดงในปี พ.ศ. 2400 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์ย้ายราชธานีจากอมรปุระมาอยู่ที่เมือง มัณฑะเลย์เพื่อเป็นตำหนักยามแปรพระราชฐาน แต่หลังจาก พระองค์ สิ้นพระชนม์ พระเจ้า สีป่อ พระโอรสก็ทรงยกวังนี้ถวายเป็นวัดถือได้ว่า เป็นงานฝีมือที่ประณีตของช่างหลวงชาวมัณฑะเลย์อย่างแท้จริง |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร เมนูพิเศษ!!! กุ้งเผา |
บ่าย | นำท่านสู่ เมืองมิงกุน โดยการล่องเรือไปตามแม่น้ำอิระวดีสู่ มิงกุน จากท่าเรือใกล้เจดีย์ชเวไจยัต เขตเมืองอมรปุระทวนน้ำไปหมู่บ้านมิงกุน ซึ้งเป็นส่วนหนึ่งของอมรปุระ แต่อยู่บนเกาะกลางลำน้ำอิรวดีและไปได้ด้วยเส้นทางเรือเท่านั้นทว่ามีอนุสรณ์สถานที่แสดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าปดุง ระหว่างทางจะได้เห็นหมู่บ้านอิรวดีที่มีลักษณะเป็น “กึ่งบ้านกึ่งแพ” เนื่องจากร ะดับน้ำอิรวดีในแต่ละฤดูกาลจะมีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะฤดูน้ำหลาก ระดับน้ำจะขึ้นสูงกว่าฤดูแล้วกว่า 10 เมตร ชาวพม่าจึงนิยมสร้างบ้านกึ่งแพ คือถ้าน้ำขึ้นสูงก็ร่วมแรงกันยกบ้านขึ้นที่ดอน ครั้นน้ำลงมากก็ยกบ้านมาตั้งใกล้น้ำ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้แม่น้ำในชีวิตประจำวัน นำท่านชม เจดีย์มิงกุน ร่องรอยแห่งความทะเยอทะยานของพระเจ้าปดุง ด้วยภายหลังทรงเคลื่อนทัพไปตียะไข่ แล้วสามารถชะลอพระมหามัยมุนีมาประดิษฐานที่มัณฑะเลย์ เป็นผลสำเร็จ จึงทรงฮึกเหิมที่จะกระทำการใหญ่ขึ้นและยากขึ้น ด้วยการทำสงครามแผ่ขยายไปรอบด้าน พร้อมกับเกณฑ์แรงงานข้าทาสจำนวนมากก่อสร้างเจดีย์มิงกุนหรือเจดีย์จักรพรรดิ เพื่อประดิษฐานพระทันตธาตุที่ได้จากพระเจ้ากรุงจีนโดยทรงมุ่งหวังให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ามหาเจดีย์ในสมัยพุกาม และใหญ่โตโอฬารยิ่งกว่าพระปฐมเจดีย์ในสยาม ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในสุวรรณภูมิ ส่งผลให้ข้าทาสชาวยะไข่หรืออาระกันจำนวน 50,000 คนหลบหนีการขดขี่แรงงานไปอยู่ในเขตเบงกอลเป็นดินแดนในอาณัติของอังกฤษ แล้วทำการซ่องสุมกำลังเป็นกองโจร ลอบโจมตีกองทัพพม่าอยู่เนืองๆ โดยพม่ากล่าวหาว่าอังกฤษหนุนหลังกลายเป็นฉนวนให้เกิดสงครามอังกฤษ-พม่า อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พม่าเสียเมืองในที่สุด อย่างไรก็ตามงานก่อสร้างเจดีย์มิงกุนดำเนินไปได้เพียง 7 ปี พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคต ภายหลังทรงพ่ายแพ้ไทยในสงครามเก้าทัพ มหาเจดีย์อันยิ่งใหญ่ในพระราชหฤทัยของพระองค์จึงปรากฏเพียงแค่ฐาน ทว่าใหญ่โตมหึมาดั่งภูเขาอิฐที่มีความมั่นคงถึง 50 เมตร ซึ่งหากสร้างเสร็จตามแผนจะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในโลก เพราะสูงถึง 152 เมตร ส่วนรอยแตกร้าวตรงกลางฐานเกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี จากนั้นนำท่านชม ระฆังมิงกุน ไม่ไกลจากฐานเจดีย์มิงกุนคือระฆังมิงกุน ที่พระเจ้าปดุงโปรดฯให้สร้างโดยสำเร็จ เพื่ออุทิศทวายแด่มหาเจดีย์มิงกุน จึงต้องมีขนาดใหญ่คู่ควรกัน คือเป็นระฆังยักษ์ที่มีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน เล่าขานกันว่า พระเจ้าปดุงทรงไม่ต้องการให้มีใครสร้างระฆังเลียนแบบ จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทันทีที่สร้างเสร็จ ปัจจุบันถือเป็นระฆังยักษ์ที่มีขนาดเล็กกว่าระฆังแห่งหนึ่งแห่งพระราชวังเครมลินในกรุงมอสโกเพียงใบเดียวทว่าระฆังเครมลินแตกร้าวไปแล้ว ชาวพม่าจึงภาคภูมิใจว่าระฆังมิงกุนเป็นระฆังยักษ์ที่ยังคงส่งเสียงก้องกังวาน ทั้งนี้เคยมีการทดสอบความกว้างใหญ่ของระฆังใบนี้ โดยให้เด็กตัวเล็กๆ ไปยืนรวมกันอยู่ใต้ระฆังได้ถึง 100 คน นำท่านชม ทัศนียภาพของเมืองหลวงเก่าของพม่าที่ ภูเขามัณฑะเลย์ฮิลล์ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่บนภูเขามัณฑะเลย์รอบวิหารมีระเบียงสำหรับชมทัศนียภาพเมืองมัณฑะเลย์ และสามารถมองเห็นแม่น้ำอิระวดี พระบรมมหาราชวัง จากนั้นนำชม วัดกุโทดอร์ ใจกลางวัดเป็นเจดียืมหาล่อกะมาระเส่ง(มหาโลกมารซิน) สูง 30 เมตร ซึ่งจำลองแบบมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม เป็นวัดที่พระเจ้ามินดงสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่5 และ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการจารึกลงบนหินอ่อน 729 แผ่นเป็นภาษาบาลี ทั้งหมด จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ และต้องใช้พระสงค์ถึง 2,400 รูปในการคัดลอก และใช้เวลานานถึง หกเดือน กว่าจะแล้วเสร็จ พระไตยปิฏกที่ชำระขึ้นในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็น “พระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก” |
ค่ำ | รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร |
พักที่ | ณ SHWE PHYU HOTEL ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า |
วันที่ 3 | พิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี - พระราชวังมัณฑะเลย์ - เมืองสกาย์ - เจดีย์อูมินทงแส่ - วัดซุนอูพอนยาชิน - เจดีย์กองมูดอว์ - กรุงเทพฯ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 3 | |
4.00 น. | นำท่านนมัสการและร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมล้างหน้าพระพักตร์ พระมหามัยมุนี และร่วมกันถวายผ้าจีวรแด่พระมหามัยมุนี (1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า) ถือเป็นต้นแบบพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ทรงเครื่อง เครื่องกษัตริย์ที่ได้รับการขนานนามว่า “พระพุทธรูปทองคำเนื้อนิ่ม” ถือเป็นสิ่งบูชาสูงสุดของชาวพม่า สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางกลับเข้าสู่ที่พัก |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำทุกท่านเข้าชม พระราชวังมัณฑะเลย์ พระราชวังหลวงของพระเจ้ามิงดง สร้างขึ้นตามผังภูมิจักรวาลแบบพราหมณ์ปนพุทธ โดยสมมุติให้เป็นศูนย์กลางของโลก (เขาพระสุเมรุ) แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีกำแพงล้อมร้อบทั้งสี่ทิศ แต่ละทิศมีประตูทางเข้า 3 ประตู รวมทั้งสิ้น 12 ประตู ที่ประตู ทำสัญลักษณ์จักรราศีประดับเอาไว้ ใจกลางพระราชวังเป็นห้องพระมหาปราสาท (ห้องสีหาสนบัลลังก์) เป็น ปยัตตั้ด (ยอดปราสาท) หุ้มด้วยแผ่นทองซ้อนกัน เจ็ดชั้นสูง 78 เมตร เชื่อกันว่า ความเป็นไปในจักรวาลจะลอดผ่าน ยอดปราสาท ตรงลงมาสู่พระแท่นราชบัลลังก์ ช่วยให้กษัตริย์ตัดสินพระทัยในเรื่องต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง แต่ปัจจุบันทางการพม่าได้จำลองขึ้นใหม่อีกครั้งบนฐานเดิมในโลก |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | จากนั้นเดินทางสู่ เมืองสกายน์ ศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาที่สำคัญ ท่านจะได้ชมทัศนียภาพของเมืองสกายน์ ลุ่มแม่น้ำอิระวดี เจดีย์จำนวนมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่บนภูเขา และริมฝั่งแม่น้ำ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19 มีเจ้าเชื้อสายไทยใหญ่เมือง สกายน์ นาม สอยุน รวบรวมผู้คนแล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์อยู่เมืองสกายน์ ที่ตั้งปัจจุบันอยู่ไหล่เนินเขาบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิรวะดี ห่างจาก มัณฑะเลย์ไปทางทิศใต้ประมาณ 10 กม. สกายน์เป็นราชธานี ได้ประมาณ 59 ปี ภายหลังเกิดการชิงอำนาจกัน สุดท้ายพระเจ้าโดะมินพญา ได้รับชัยชนะ จึงย้ายเมืองหลวงใหม่ มาตั้งที่ปากแม่น้ำ มิดแง ตรงที่บรรจบกับแม่น้ำ อิรวะดี จนเป็น ที่ตั้งของเมืองอังวะในเวลาต่อมา นำท่านเปลี่ยนพาหนะในการเดินทางเป็นรถสองแถวเพื่อเดินทางขึ้นสู่ ยอดเขาสกายน์ ซึ่งเป็นภูเขาขนาดกลาง มีความสวยงามด้านทัศนียภาพ สามารถมองเห็นเจดีย์ต่างๆ ที่กระจาย รายล้อมอยู่โดยรอบ สุดสายตาจะเป็นแม่น้ำ อิระวดี ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมืองนี้ จากนั้นนำทุกท่านชม เจดีย์อูมินทงแส่ หรือ วัด 30 ถ้ำ วัดนี้อยู่บริเวณช่วงกลางของเนินเขาสกายน์ ภายในจะมีพระพุทธรูปจำนวน 45 องค์ ประดิษฐานอยู่ด้านในเรียงกันเป็นครึ่งวงกลม มีทางเดินโค้งคู่ไปกับพระพุทธรูป นำท่านสู่ วัดซุนอูพอนยาชิน วัดนี้มียอดเจดีย์ สูงถึง 29 เมตร ภายในเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ภายนอกรอบๆวัดสามารถเดินชมวิวได้ บริเวณนี้ถือเป็นจุดชมวิวของเมือง นอกจากจะเห็นวิวของแม่น้ำอิระวดีที่สวยงดงามแล้ว มองลงมาก็จะเห็นเหล่าวัดและเจดีย์มากมายในบริเวณเขาสกายน์แห่งนี้ ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง เพราะจะเห็นเมืองโดยรอบ 360 องศา จากนั้นนำท่านชม เจดีย์กองมูดอว์ (KaungHmuDaw Pagoda) หรือ วัดเจดีย์นมสาว สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1636 โดยพระเจ้าตาหลู่น เพื่อใช้ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว ทรงของเจดีย์คล้ายทรงครึ่งวงกลมคว่ำ เป็นศิลปะในแบบของชาวสิงหล หรือ เรียกอีกอย่างว่า เจดีย์ทรงลังกา องค์เจดีย์มีความสูง 46 เมตร เส้นรอบวงวัดได้ 274 เมตร เนื่องจากรูปทรงเจดีย์ค่อนข้างแปลกตา คล้ายกับนมของหญิงสาว จึงเป็นที่มาของชื่อ เจดีย์นมสาว ปัจจุบันตัวเจดีย์มีการบูรณะใหม่ ถูกทาให้เป็นสีทองทั้งหมดเพื่อความสวยงาม ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางกลับสู่ สนามบินมัณฑะเลย์ เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย |
19.15 น. | ออกเดินทางกลับ กรุงเทพฯ โดย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ เที่ยวบินที่ PG 714 |
21.40 น. | ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจในบริการ |
Address
53/286 Soi Nawamin 105, Nawamin Road, Nawamin, Bueng Kum, Bangkok 10240
จันทร์ - ศุกร์ : 09.00 - 18.00 น.
Contact Us
Hotline : 081-873-6566, 099-191-9288
Social Network
Facebook : @DoubleEnjoyTravel
Line : @DoubleEnjoy
Instagram : @DoubleEnjoy
Youtube : Double Enjoy Travel