คุชราต ... รัฐบนชายฝั่งตะวันตกของประทศอินเดีย
มีชายฝั่งความยาว 1,600 ก.ม. มีประชากร เป็นอันดับที่เก่าของประเทศอินเดีย
และมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ห้าของประทศ พรมแดนรัฐคุชราตติดต่อกับ
รัฐราชสถานทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทางตะวันออกเฉียงได้ติดกับรัฐมหาราษฎระ
ทางตะวันออกติดกับรัฐมัธยประเทศ และทางตะวันตกติดกับแควนสินธ์ของประเทศ
ปากีสถานและทะเลอาหรับ เมืองหลวงของรัฐคุชราตคือคานธีนคร ส่วนเมืองใหญ่สุดคืออาห์เมดาบัด
รัฐคุชราตเป็นที่ตั้งของโมราณสถานจากอารยรรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ มีสถาปัตยกรรมทั้ง
ฮันดู เชนและคิสสต์ ป็นแหล่งปลูกผ้าฝ้าฝ้ายขนาดใหญ่อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของอุทยาน
แห่งชาติกีร์ซึ่งเป็นที่อยู่แห่งเดียวของประชากรสิงโตเอเชีย
รหัสทัวร์ | วันที่เดินทาง | เดินทางโดย | ราคา | สถานะ |
---|---|---|---|---|
DE000-002 | 08-18 ก.พ. 68 | Thai Airways (TG) | 72,900 | จองด่วน |
DE000-003 | 08-18 มี.ค. 68 | Thai Airways (TG) | 72,900 | จองด่วน |
วันที่ 1 | กรุงเทพฯ - อาห์เมดาบัด |
---|---|
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 1 | |
17.30 น. | คณะพร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตูทางเข้าที่ 9-10 แถว W สายการบินแอร์ไทย (TG) โดยเจ้าหน้าที่ บริษัทฯ คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้กับทุกท่าน |
20.55 น. | ออกเดินทางสู่ เมืองอาห์เมดาบัด ประเทศอินเดีย โดย สายการบินแอร์ไทย เที่ยวบินที่ TG 343 (มีบริการอาหารบนเครื่องดื่มร้อน-เย็น เครื่องบิน) เวลาที่อินเดียช้ากว่าประเทศไทย 1.30 ชั่วโมง |
23.55 น. | เดินทางถึง สนามบินอาห์เมดาบัด (Ahmedabad) ตามเวลาท้องถิ่น อาห์เมดาบัด ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญของอินเดีย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ และที่สำคัญเมืองอัห์มดาบาดยังได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.2017 ในชื่อ “นครประวัติศาสตร์อัห์มดาบาด” ด้วยความโดดเด่นในด้านการผสมผสานของวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอันมีเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังต้องถือว่าเป็นเมืองแรกในประเทศอินเดียที่เป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย...เดินทางสู่โรงแรมที่พัก |
ที่พัก | FOUR POINT SHERATOHN HOTEL,AHMEDABAD หรือเทียบเท่า (คืนที่ 1) |
วันที่ 2 | อาห์เมดาบัด - วาโดดารา - อาห์เมดาบัด |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 2 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง เมืองวาโดดารา (Vadodara) ระยะทาง 111 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เดิมชื่อบาโรดา (Baroda) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์รัฐคุชราต มีความเจริญด้านโครงสร้างพื้นฐานอันดับต้นๆของประเทศแต่ไม่ได้เจริญเพียงด้านอาคารวัตถุ แต่ยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยต้นไม้สีเขียวทั่วเมืองมีสวนสาธารณะมากถึง 85 แห่ง นำท่านชม พระราชวังลักษมีวิลาศ (Laxmi Vilas Palace) หนึ่งในพระราชวังที่งดงามที่สุดของอินเดีย สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบอินโดซาราแซนิค (Indo-Saracenic) ภายในพระราชวังประดับประดาอย่างงดงาม เป็นพระมหาราชวังสุดยิ่งใหญ่ของเมืองวาโดดารา เป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่มีชื่อเสียง ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำเมืองก็ว่าได้ จากนั้นชม พิพิธภัณฑ์มหาราชา Fateh Singh จัดแสดงผลงานศิลปะอันเป็นงานสะสมของมหาราชาแห่งวาโดดารา ทั้งจากยุโรป จีนและญี่ปุ่น เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นโรงเรียนสำหรับบุตรหลานของมหาราชา ปัจจุบันมีผลงานศิลปะจำนวนมากของ ราชวงศ์ Maratha แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ผลงานศิลปะที่รวบรวมโดยมหาราชา Sir Sayajirao Gaekwad III ระหว่างการเดินทางออกนอกอินเดียหลายครั้ง งานศิลปะที่สำคัญในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือภาพวาดของศิลปินชาวยุโรปและอินเดีย รวมถึงคอลเลกชั่นภาพวาดของราชา ราวี วาร์มาซึ่งได้รับการว่าจ้างเป็นพิเศษจากมหาราชาแห่งบาโรดาในขณะนั้น |
กลางวัน | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | เดินทางไปชม Champaner-Pavagadh Archaeological Park ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ก่อตั้งโดยมหาราชาจัมปาราช ในอดีตเคยเป็นราชธานีของเจ้าราชบุตรราชวงศ์ Chauhan ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ต่อมาถูกยึดครองโดยสุลต่านมาห์มุด เบการาในปี ค.ศ.1484 และได้สร้างป้อมปราการที่ ภาวะคระห์ ต่อมาถูกราชวงศ์โมกุลยึดครองในปี ค.ศ.1553 นำท่านชม Jama Masjid in Champaner Gujarat มัสยิดจามี หรือ มัสยิดจามา ในจัมปาเนร์ รัฐคุชราต ส่วนหนึ่งของอุทยานโบราณคดีจัมปาเนร์-ปาวาครห์ แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก มัสยิดมีขึ้นในปี ค.ศ. 1513 ดำเนินการก่อสร้างมากว่า 25 ปี เป็นหนึ่งในอนุสาวรีย์ที่โดดเด่นที่สุดที่สร้างโดยสุลต่านมะห์มุด เบกาด สถาปัตยกรรมโมกุลได้รับการกล่าวขานว่ามาจากสถาปัตยกรรมของสุลต่านซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง ความหมายทางศาสนา ของเชนและงานฝีมือกับร๊อคของชาวมุสลิม โดมขนาดใหญ่บ่งบอกถึงการผสมผสานดังกล่าว จากนั้นนำท่านเดินทางกลับเมือง อาห์เมดาบัด แวะชม Sidi Sayed Mosque สุเหล่าที่มีชื่อที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างในปี ค.ศ.1573 โดย Sidi จุดเด่น คือ หินแกะสลักลาย “ต้นไม้แห่งชีวิต” (Tree of life) ช่างได้ฉลุแผ่นหินเป็นรูปต้นปาล์มแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นเส้นโค้งละเอียดอ่อนช้อยในสไตล์อิน โด-ซาราเซนิก และด้วยความวิจิตรงดงามนี้ ทำให้ต้นปาล์มนี้ได้ถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของ เมืองอาห์เมดาบัดด้วย |
ค่ำ | บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | FOUR POINT SHERATOHN HOTEL,AHMEDABAD หรือเทียบเท่า (คืนที่ 2) |
วันที่ 3 | อาห์เมดาบัด - คานธีนคร |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 3 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม จากนั้นนำท่าน เยี่ยมบ้านคานธีเมืองมรดกโลกแห่งอินเดีย “คานธีอาศรม” Gandhi Ashram มหาตมะคานธี ได้ใช้อาศรมแห่งนี้เป็นศูนย์กลางในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักของมหาตมะคานธีและภรรยาของเขา ตั้งอยู่บนแม่น้ำซาบา มาติ จากที่นี่คานธีเป็นผู้นำการเดินขบวน Dandi หรือที่เรียกว่า Salt Satyagraha เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2473 เพื่อเป็นการรับรู้ถึงอิทธิพลสำคัญที่การเดินขบวนครั้งนี้มีต่อขบวนการเรียกร้องเอกราชของอินเดีย รัฐบาลอินเดียจึงได้จัดตั้งอาศรมแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ นำชม วัดหัตถีซิงค์ Hutheesing Temple ศาสนสถานของศาสนาเชน สร้างขึ้นในปี 1848 โดยตระกูล Hutheesing วัดผสมผสาน รูปแบบสถาปัตยกรรมของวัด Maru-Gurjara เก่า เข้ากับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมใหม่ของ haveliในการออกแบบ วัดนี้สร้างขึ้นในช่วงที่ข้าวยากหมากแพงในรัฐคุชราต การสร้างวัดใช้ช่างฝีมือหลายร้อยคนที่สนับสนุนพวกเขาเป็นระยะเวลาสองปี ลูกชายของเค้าประเมินราคาว่า "มากกว่าล้านดอลลาร์" |
กลางวัน | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | เดินทางไปยัง เมืองคานธีนคร (Gandhinagar) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เมืองหลวงใหม่ของรัฐคุชราตเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับ 10 ของอินเดีย ตั้งชื่อเมืองตามรัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงก้องโลก “มหาตมะคานธี” มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งของอินเดีย นำท่านชม บ่อน้ำที่งดงาม Adalaj Step well สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1498 โดยราชินี Rudabai ภรรยาของหัวหน้า Vaghela, Veersinh เป็นบ่อน้ำที่กว้างใหญ่ ขุดลึกลงไปใต้ดินมีบันไดเดินลงไปจนถึงตาน้ำเบื้องล่าง ผนังโดยรอบเป็นหินแกะสลักอย่างวิจิตร ในตอนแรกถูกสร้างขึ้นเพื่อให้น้ำสำหรับดื่มซักผ้าและอาบน้ำ แต่โครงสร้างที่แช่อยู่นั้นเป็นสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดของอินเดีย บ่อน้ำขั้นบันไดโบราณนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แต่นอกจากงานฝีมืออันน่าทึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเชื่อมโยงกับเรื่องราวความรักที่น่าสะเทือนใจและโศกนาฏกรรมอีกด้วย! แม้ว่าปัจจุบันจะมีอายุมากกว่า 500 ปีแล้ว แต่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม ในบ่อน้ำขั้นบันได คำนี้มาจากภาษาคุชราต เรียกอีกอย่างว่า วัดน้ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชุดของขั้นตอนที่นำไปสู่บ่อน้ำ Stepwells มีชื่อแตกต่างกันทั่วประเทศ ทางตอนเหนือของอินเดีย โดยทั่วไปจะใช้ชื่อ Baoli จากภาษาฮินดี เช่นเดียวกับในเดลี หรือในราชสถาน คุณอาจพบว่ามีชื่อ Kund และที่นี่ยังได้เป็นมรดกโลกด้วย นำท่านชม Swaminarayan Akshardham ในคานธีนคร เป็นวัดฮินดูขนาดใหญ่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Yogiji Maharaj ผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณคนที่สี่ของ Swaminarayan และสร้างขึ้นโดย Pramukh Swami Maharaj ผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณคนที่ห้าของ Swaminarayan ตามนิกาย BAPS ของศาสนาฮินดู |
ค่ำ | บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม |
ที่พัก | FORTUNE INN HAVELI HOTEL GANDHINAGAR หรือเทียบเท่า (คืนที่ 3) |
วันที่ 4 | คานธีนคร - โลทาล - เมืองภวนคร |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 4 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางไปยัง เมืองโบราณโลทาล (Lothal) ระยะทางประมาณ 150 กม.ประมาณ 3 ชม. เป็นเมืองท่าโบราณ สันนิษฐานว่าเป็นเมืองท่าแห่งแรกของอินเดียและของโลก เนื่องจากพบหลักฐานของผังเมืองและร่องรอยของอารยธรรมดั้งเดิม อีกทั้งชาวโลธัลยังเก่งกาจเรื่องดาราศาสตร์และการเดินเรือด้วย ไปชมพิพิธภัณฑ์โบราณคดีของโลธัล ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมวัตถุโบราณจากการขุดค้น อาทิ เครื่องสำริด กระจก เครื่องปั้นดินเผา ลูกปัดโบราณ และอัญมณีต่างๆ นำท่านชม ซากเมืองโบราณสมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อายุร่วม 4,500 ปีร่วมสมัยกับเมืองโมเฮ็นโจดาโร ปัจจุบันอยู่ที่ประเทศปากีสถาน เมืองนี้ตั้งอยู่ ณ จุดที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน คือแม่น้ำสภามาติและแม่น้ำโภคาโว แล้วไหลลงสู่อ่าวแคมเบย์จึงเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองมากในการค้าขายกับอียิปต์เปอร์เซียและเมโสโปเตเมียจากการขุดค้นทางโบราณคดีบนรากฐานสิ่งก่อสร้าง อู่ต่อเรือและวัตถุที่มาจากประเทศที่มีการค้าขายกันซึ่งจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ |
กลางวัน | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | เดินทางไปยัง เมืองบาฟนาการ์ หรือ เมืองภวนคร (Bhavbagar) ระยะทางประมาณ 120 กม.ประมาณ 3 ชม. เมืองท่าที่เคยรุ่งเรืองของอ่าวแคมเบย์ อยู่ปลายแหลมติดทะเล ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1743 และยังคงเป็นเมืองสำคัญในการค้าขายสินค้าที่ผลิตจากฝ้ายอุตสาหกรรม ผลิตพลาสติก และการตัดเรือเหล็กที่ไม่ใช้งานแล้ว เป็นเมืองที่มหาตมะคานธีเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอีกด้วย แวะชม วัดตักเตศวร Shree Takhteshwar Temple วัดฮินดูตั้งอยู่บนเนินเขาสร้างด้วยหินอ่อน ที่นี้สูงพอที่จะให้ทัศนียภาพอันงดงามของเมืองและออกไปสู่อ่าว Cambay สร้างขึ้นในสไตล์ คุชราตด้วยเสาที่หรูหรา 18 ต้น และห้องโถงใหญ่หน้าห้องศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปของพระอิศวร บันไดหินอ่อนช่วยให้ผู้มีจิตศรัทธาเข้าถึงได้จากด้านล่างของเนินเขาไปยังลานหลักของวัด วัดนี้เป็นจุดนัดพบสำหรับวัยรุ่นและขาประจำในตอนเย็น จุดแวะพักบนเนินเขาที่มีลมพัดเอื่อยเป็นโอเอซิสที่เงียบสงบจากดินแดงของเมืองที่อยู่เบื้องล่าง ชมความงามแบบพาโนราม่าทั้งเมืองบาฟนาการ์ช่วงพระอาทิตย์ตกได้ด้วย เชื่อกันว่าวัดนี้สร้างโดยมหาราชา Taktsinhji ในปี พ.ศ. 2436 เขาได้รับการเจิมให้เป็นมหาราชาแห่งภวนครหลังจากการตายของพ่อของเขา ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ |
ค่ำ | บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม |
ที่พัก | EFCEE SAROVAR PORTICO BHAVAGAR หรือเทียบเท่า (คืนที่ 4) |
วันที่ 5 | ภวนคร - ปาลิตานะ - ดิอู |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 5 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม เดินทางไปยัง วัดปาลิตานะ Palitana ซึ่งเป็นที่ตั้งของกลุ่มวัดเชนบนยอดเขา สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากถูกพวกมุสลิมทำลายในคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของศาสนาเชน ทุกศาสนามีจุดโฟกัสอยู่บนพื้นผิวโลก ในกรณีของศาสนาเชนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่บนผิวน้ำ แต่เอื้อมมือขึ้นไปบนท้องฟ้า และ สาเหตุที่ศาสนิกชนจาริกแสวงบุญมายังสถานที่แห่งนี้เพราะเชื่อกันว่าศาสดาองค์แรกคือ อตินาถ (Adinath) เคยจาริกมาที่นี่และเชื่อว่าสาวกองค์ สำคัญของท่านอตินาถคือพันดาริกา (Pundarika) บรรลุธรรม (ระยะทางประมาณ 60 กม.ประมาณ 1 ชม.) ห่างจากเมืองภวนคร ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 50 กม. และเป็นศูนย์กลางแสวงบุญที่สำคัญของชาวเชน เป็นเมืองมังสวิรัติแห่งแรกในสองแห่งของโลก |
08.30 น. | รวมคณะ ณ เขา ชาตรุนจายา Shatrunjaya วันนี้คณะใช้เวลาเดินขึ้น 2-3 ชั่วโมง มีการนัดหมายเวลาอีกครั้ง (สำหรับคณะไทยเรา) แต่คนอินเดียเค้าใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางตามเส้นทางสู่ขึ้นสู่วัด มีทั้งนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญเดินทางขึ้นไม่ขาดสาย มีจุดพัก และ วัดบริวารต่างๆ หมายเหตุ: สำหรับท่านที่ไม่ต้องเดินขึ้นมีเสลี่ยงรับจ้างให้บริการ 2 แบบขึ้น-ลง เส้นทางขึ้นวัดคนละทาง แบบเก้าอี้นั่ง 4 คนแบก ประมาณ 4500 รูปี ต่อเสลี่ยง ราคาไป-กลับ (ไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์ ) แบบเปล 2 คนแบก ประมาณ 2000-3000 รูปี ต่อเสลี่ยง ราคาไป-กลับ (ไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์) ราคาไม่รวมในรายการทัวร์และ สอบถาม หน้างานอีกครั้ง โปรดแจ้งความประสงค์กับหัวหน้าทัวร์ หรือ ไกด์ ท้องถิ่นของท่าน ก่อน 1 วัน เพื่อการจองก่อนล่วงหน้า... เมื่อถึงบริเวณวัดให้ท่านได้ชมความสวยงามและการแกะสลักด้วยหินอ่อนอย่างวิจิตรงดงาม คำอธิษฐานที่แท้จริงในหิน สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นงาช้างขนาดเล็กเมื่อมองจากระยะไกล สร้างโดยช่างฝีมือ ชั้นครู วัดที่สำคัญที่สุดคือ วัดของธีรธานการะองค์แรก ชรีอดิศวร มีลวดลายทางสถาปัตยกรรมที่หรูหรา แม้ว่าในผังโดยรวมจะดูเรียบง่ายกว่าโชมุข วิหารที่โดดเด่นอื่น ๆ ได้แก่ ของ Kumarpal, Vimalshah และ Sampriti Raja Kumarpal Solanki ผู้อุปถัมภ์เชนที่ยิ่งใหญ่อาจสร้างวัดที่เก่าแก่ที่สุด วัดมีคอลเลกชั่นเครื่องเพชรที่ยอดเยี่ยมและสามารถมองเห็นได้เมื่อได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ วัดมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ถึงศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2408 ถึง พ.ศ. 2453 ปกครองโดยกษัตริย์ธนพัฒน์ ความเชื่อ ผู้นับถือศาสนาเชนทุกคนปรารถนาที่จะปีนขึ้นไปบนยอดเขาอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต ในปี พ.ศ. 2557 ปาลิทานากลายเป็นเมืองแรกในโลกที่กินมังสวิรัติ...ได้เวลาอันสมควรหรือ ตามเวลานัดหมาย เดินทางลงเขาเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน |
13.30 น. | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองดิอู (Diu) ระยะทางประมาณ 140 กม.ประมาณ 3-4 ชม. เป็นเกาะที่แต่เดิมเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส ต่อมากองทัพอินเดียยึดคืนมาได้ แต่ก็ยังให้เป็นเขตปกครองตัวเอง (Union Territory) เป็นเขตที่มีประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 10 ของอินเดีย ถือว่าที่นี่เป็นเกาะท่องเที่ยวและพักผ่อนของชาวกุจราช เมืองดิอุเส้นทางการค้าจากยุโรป อาหรับ สู่ตะวันออกรู้จักกันในนาม “ยิบรอลตาแห่งตะวันออก”เคยเป็นอาณานิคมที่เจริญรุ่งเรืองของโปรตุเกสในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นเอกราชเมื่อปี ค.ศ. 1961 ปัจจุบันเป็นเมืองที่บริหารโดยรัฐบาลกลางเรียกว่าเขต Union Territory |
ค่ำ | บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม |
ที่พัก | KRISNHA BEACH RESORT DIU หรือเทียบเท่า (คืนที่ 5) |
วันที่ 6 | ดิอู - โสมนาถ - อุทยานแห่งชาติซาซานกีร์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 6 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม นำท่านชม เมืองดิอู เป็นเขตที่มีประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 10 ของอินเดีย ชม โบสถ์เซนต์พอล Saint Paul's Church ตั้งอยู่บนเกาะ Diu บนชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย ซึ่งเป็นดินแดนสหภาพของอินเดีย Diu ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอาณานิคมโปรตุเกสในต้นศตวรรษที่ 16 คริสตจักรเซนต์พอล ซึ่งตั้งชื่อตาม นักบุญพอล อัครสาวก ของ พระเยซู ยังเป็นที่รู้จักกันในนามอัครสาวกไปยังคนต่างชาติยังคงเป็นโบสถ์ที่ใช้งานได้และเป็นหนึ่งในสามคริสตจักรใน Diu ที่สร้างโดยชาวโปรตุเกส มันถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของ สถาปัตยกรรมบาร็อค (สไตล์ศิลปะ) ในอินเดีย นำท่านชม ป้อมปราการดิอู Diu Fort เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นโดยโปรตุเกสตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของอินเดียในดีอู ป้อมปราการแห่งนี้สร้างขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของ การป้องกันของ โปรตุเกสอินเดียที่ปลายด้านตะวันออกของเกาะ Diu ในช่วงศตวรรษที่ 16 ภายหลังการสร้างพันธมิตรป้องกันโดยBahadur Shahสุลต่านแห่ง Gujaratและชาวโปรตุเกส เมื่อ หุมายุนจักรพรรดิโมกุล พยายามผนวกดินแดนนี้ มันแข็งแกร่งขึ้นจนถึงปี 1546 ชาวโปรตุเกสปกครองดินแดนนี้ตั้งแต่ปี 1537 จนถึงการรุกรานของอินเดียในเดือนธันวาคม 1961 ปัจจุบันเป็นจุดสังเกตของ Diu และเป็นหนึ่งใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของแหล่งกำเนิดโปรตุเกสในโลก จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ โสมนาถมนเทียร (Somanath Temple) ระยะทางประมาณ 80 กม.ประมาณ 2-3 ชม. ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอาหรับเป็นหนึ่งในเทวาลัยที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของฮินดู สร้างถวายพระศิวะความมั่งคั่งของเทวาลัยแห่งนี้ทำให้มีการบุกปล้นเทวาลัยหลายครั้ง เริ่มจากการบุกปล้นโดยมาห์หมุดแห่งฆาษนีย์จากแอฟกานิสถานใน ค.ศ.1026 วัดนี้สร้างขึ้นที่ชายฝั่งของมหาสมุทรอาหรับทางมุมตะวันตกของอนุทวีปอินเดีย |
กลางวัน | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านชม เทวลัยโสมนาถ เป็นโบสถ์พราหมณ์ที่ตั้งอยู่ในประภัสปตัน ซึ่งเป็นโบสถ์พระศิวะที่เชื่อกันว่าเป็นแห่งแรกในบรรดาชโยติรลึงค์ หรือโบสถ์พระศิวะที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 12 แห่ง โสมนาถมนเทียรเป็นสถานที่แสวงบุญสำคัญในรัฐคุชราต นำท่านสู่ อุทยานแห่งชาติซาซานกีร์ (Sasan Gir National Park) (ระยะทางประมาณ 52 กม.ประมาณ 2 ชม.) ชื่อเดิมคืออุทยานแห่งชาติกีร์ ไลออน เป็นสถานที่แห่งเดียวในโลกนอกทวีปแอฟริกาที่สามารถพบเห็นสิงโตในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของมัน สิงโตแห่ง Gir เป็นสัตว์ที่สง่างามความยาวเฉลี่ย 2.75 เมตร และมีพู่หางที่ใหญ่กว่า ขนกระจุกข้อศอกที่หนากว่า และรอยพับที่ท้องที่โดดเด่นกว่าลูกพี่ลูกน้องของมันในแอฟริกาซึ่งมีแผงคอที่ใหญ่กว่า “กีร์” เป็นบ้านของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 40 สายพันธุ์ และนก 425 สายพันธุ์ มี 882,500ไร่อุทยานแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่อยู่สุดท้ายของสิงโตเอเชีย |
ค่ำ | บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม |
ที่พัก | The Gir lion safari camp GIR หรือเทียบเท่า (คืนที่ 6) |
วันที่ 7 | อุทยานแห่งชาติซาซานกีร์ - จูนาการ์ - แรนน์คุจน้อย |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 7 | |
เช้าตรู่ | พาคณะโดยรถจี๊ป เข้าชม อุทยานแห่งชาติป่ากิร์ (Gir Forest National Park) อุทยานแห่งชาติป่ากีร์ ชื่อเดิมคือ อุทยานแห่งชาติกีร์ ไลออน อุทยานนี้ถือเป็นบ้านของสิงโตสายพันธุ์เอเชีย (Panthera leo persica) ที่เคยมีจำนวนเหลือเพียง 20 ตัวใน ค.ศ. 1913 จากการถูกล่าในช่วงที่ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ จนในปัจจุบันความพยายามของกรมป่าไม้ก็ประสบความสำเร็จที่สามารถเพิ่มจำนวนมากกว่า 300 ตัว แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการใกล้จะสูญพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกกว่า 30 ชนิด อาทิ ไฮยีนา สุนัขจิ้งจอก หมูป่า ค่าง เม่น ชะมด นก 300 สายพันธุ์ และแมลงอีกนับ 1,000 สายพันธ์ ที่อาศัยอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบนพื้นที่ทั้งหมดราว 1,153 ตร.กม ได้เวลากลับสู่ที่พักเพื่อรับประทานอาหารเช้า |
08.00 น. | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมือง จูนาการ์ท (Junagadh ) ระยะทางประมาณ 85 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ศูนย์กลางปกครองของเขตชูนาครห์ในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 7 ของรัฐ นำท่านชมเข้าชม ป้อมอุปาร์คต (Uparkot Fort) ป้อมโบราณนี้เชื่อว่าสร้างขึ้นในปี 319 ก่อนคริสต์ศักราช ป้อมและเมืองถูกสร้างขึ้นที่เชิง เขา Girnarในรัชสมัยของจักรวรรดิ Mauryaและยังคงใช้อยู่ในสมัยคุปตะแต่สูญเสียความสำคัญไป ทางเข้าอยู่นอกเมือง ในกำแพงด้านตะวันออก และประกอบด้วยสามประตู ประตูหนึ่งอยู่ด้านในอีกประตูหนึ่ง กำแพงป้อมสูงตั้งแต่ 60 ถึง 70 ฟุต ก่อตัวเป็นกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ ประตูด้านในซึ่งเป็นตัวอย่างที่สวยงามของToranaได้รับการเสริมด้วยงานIndo-Saracenic บนเชิงเทินเหนือประตูมีจารึกของ Mandalika III ลงวันที่ 1450 และ ใกล้ๆ มีมัสยิด Jummaสร้างโดย Mahmud Begada และ หลุมฝังศพของ Nuri Shah ใกล้กับ มัสยิด ประดับด้วยโดมโค้ง และงานแกะสลักที่แปลกประหลาดที่สุดเหนือประตู มีบ่อน้ำสองแห่งใน Uparkot - Adi Kadi Vavซึ่ งกล่าวกันว่าสร้างขึ้นในสมัยโบราณโดยสาวใช้ของผู้ปกครอง Chudasama ซึ่งเดินลงมาด้วยบันไดยาว และNavghan Kuvo ตัดลึกลงไปในหินเนื้ออ่อนและมีบันไดเวียน และ ถ้ำอุปรกตเป็นถ้ำในพุทธศตวรรษที่ 2-3 ตั้งอยู่ในอุปรกต เป็นถ้ำสองชั้นที่พระสงฆ์ใช้ในสมัยโบราณ |
กลางวัน | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านชม มหาบาทมักบารา (Mahabat Maqbara) เป็นสุสานของพระราชวังที่งดงาม เป็นการผสมผสานที่ผิดปกติของ สถาปัตยกรรม อินโดอิสลามยุโรปและโกธิคและเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของเมือง ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเศรษฐีมหาราชาข่านที่สองแห่งจูนาการ์การตกแต่งค่อนข้างไม่ธรรมดาของอินเดียและรวมถึงโดมขนาดเล็กจำนวนมาก ซุ้มโค้งที่ ออกแบบอย่างประณีต หน้าต่าง ฝรั่งเศส เสา แนวตั้งแบบกอธิคและประตูเงินที่ส่องแสงอาคารภายในและภายนอกตกแต่งด้วย หิน แกะสลักอย่างประณีตโครงสร้างเป็นแบบดั้งเดิมมีห้องโถงกลางหัวหอมโดมที่ขนาบข้างด้วยสี่หออะซานสี่มุม หออะซานแต่ละแห่งมี บันไดเวียนภายนอกที่หมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อให้ได้สัดส่วน นำท่านเดินทางต่อไปยัง ลิตเติ้ล รานน์ ออฟ คุทช์ (LRK) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของอินเดีย (Little Rann of Kutch) “The Little Rann of Kutch” เป็นที่อยู่ของลาป่าอินเดีย (คูร์)เพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์นี้Indian Wild Ass Sanctuary (IWAS) ถูกสร้างขึ้นในปี 1971 และครอบคลุมพื้นที่เกือบห้าพันตารางกิโลเมตร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ยังเป็นที่อยู่ของนกอพยพหลายชนิด เช่น นกกระเรียนซารัสเป็ด นกกระทุง ดัลเมเชียนและนก ฟลามิงโกตลอดจนนกบกอย่างนกทรายนกฟรังโคลินและนกอีแร้งอินเดีย นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่นหมาป่าอินเดียนจิ้งจอกทะเลทรายและปลานิล พาท่านเข้าสู่กิจกรรมพิเศษ ไฮไลท์ ซาฟารีข้ามทะเลทราย ชม ความมหัศจรรย์ของ Little Rann of Kutch (Rann เป็นภาษาอินเดีย แปลว่าทะละทราย Little Rann of Kutch แปลว่า ทะเลทรายน้อยแห่งคัทช์) ที่นี่คือ เขตอนุรักษ์สัตว์ลาป่า (Indian Wild Ass Sanctuary) ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ชมฝูงลาป่าเอเชีย (Gudkhur) ที่ไม่พบที่อื่น ลาป่าเป็นสีน้ำตาล (ครอบครัวม้า) นิลกาย(Nilgai) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในวงศ์วัวและควาย จัดเป็นเพียงสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Boselaphus และท่องชมทุ่งนาเกลือ และชมพระอาทิตย์ตกดินอย่างสวยงาม *หมายเหตุ: เนื่องจากทะเลเกลือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลา |
ค่ำ | บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม |
ที่พัก | ROYAL SAFARI CAMP BAJANA หรือเทียบเท่า (คืนที่ 7) |
วันที่ 8 | แรนน์คุจน้อย - เมืองโมเดห์รา - เมืองปาทัน – เมืองโพชินา |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 8 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม เดินทางสู่ เมืองโมเดห์รา Modhera ระยะทางประมาณ 75 กม.ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. เมืองนี้เป็นที่รู้จักกันดีในยุคดวงอาทิตย์ของวัดไชยกุลี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำภุชปาวตี เมืองนี้ มีความเชื่อกันว่าท่านพระรามทำยาไน ที่นี่เพื่อชำระล้างบาปของการฆ่าพราหมณ์ ทศนะ เขาสร้าง Modherak ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ Modhera วัดดวงอาทิตย์ ถูกสร้างขึ้นในช่วงรัชสมัยของ Bhima I แห่ง ราชวงศ์ Chaulukya ในปี 1026-1027( Vikram Samvat 1083) จากนั้นนำท่านชม วัดโมเดห์รา หรือ Modhera Sun Temple วัดนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1026 โดยกษัตริย์ภีมเทพแห่งราชวงศ์โซลันกิเพื่อบูชาองค์เทพสุริยะ ณ ริมแม่น้ำภุชปาวตี (Pushpavati) ตอนนี้และได้รับการคุ้มครองโดยการสำรวจทางโบราณคดีของอินเดีย เป็นวัดฮินดูที่มีลวดลายแกะสลักเป็นรูปเทพและเทพธิดาอย่างวิจิตรงดงามแห่งหนึ่งในคุชราต ผนังภายนอกวัดมีรูปแกะสลักเทพพระอาทิตย์ และเทพองค์อื่นๆ และยังมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่กลางแจ้งซึ่งแกะสลักลวดลายขั้นบันได5ชั้น ไล่ระดับอย่างสวยงาม มีเทวสถานขององค์เทพคเณศวร วิษณุ และศิวะประจำทั้ง 3 ด้าน สร้างในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 11 ด้วยหินทรายสีชมพูโดยพรเจ้าภีมเทพที่ 1 เป็นสถาปัตยกรรมฮินดูที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในกุจราต |
กลางวัน | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | จากนั้นนำท่านเดินทางไปยัง เมืองโบราณปาทัน (Patan) (ใช้เวลาประมาณ 45 ชม.) เมืองปาทัน ก่อตั้งขึ้นในปี 745 โดย Vanraj Chavda ซึ่งเป็นราชาที่โดดเด่นที่สุดของราชวงศ์ Chavda และกลายเป็นศูนย์กลางการค้าเพื่อผลิตผลทางการเกษตร อุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ การกัดฝ้ายการทอการปักและการ แกะสลัก ไม้และ งาช้าง ผ้าไหมทอมือของปาตันเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในประเทศอินเดียและถูกนำมาใช้ในการผลิตผ้าไหม สตาโร ไหมที่มีสีสันสดใสและออกแบบมาอย่างประณีตซึ่งเมืองนี้มีชื่อเสียง ราชสำนักชวาเคยสั่งผ้าทอจากที่นี่ไปใช้ในราชสำนักผ้าไหม Patara ของเมืองปาทานได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งผ้าไหมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและคงรักษาลวดลายสีสันการออกแบบรวมไปถึงเทคนิคการทอแบบโบราณเอาไว้ได้ นำท่านเข้าชม รานี คี วาฟ (Rani Ki Vav) แปลว่า 'บ่อน้ำขั้นบันไดของราชินี' เป็นบ่อน้ำขั้นบันไดที่ตั้งอยู่ในเมืองปาตันในรัฐคุชราตประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดี การก่อสร้างมีสาเหตุมาจากอุดายามาตี พระชายาของกษัตริย์ชัยลูกาที่ 1 ภีมะที่ 1 ในศตวรรษที่ 11 ถูกค้นพบอีกครั้งในทศวรรษที่ 1940 และได้รับการบูรณะในทศวรรษที่ 1980 โดยการ สำรวจ ทางโบราณคดีของอินเดีย ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของยูเนสโก ในอินเดียตั้งแต่ปี 2014 บ่อน้ำขั้นบันไดนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง โดยได้รับการออกแบบให้เป็นวิหารกลับหัวที่เน้นความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำ แบ่งเป็นบันไดเจ็ดชั้นพร้อมแผงประติมากรรม แผงเหล่านี้มีประติมากรรมหลักมากกว่า 500 ชิ้น และประติมากรรมรองกว่าพันชิ้นที่ผสมผสานภาพทางศาสนาและสัญลักษณ์เข้าด้วยกัน… จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองโพชินา (Poshina) เมืองนี้มีชื่อเสียงในด้านศาลเจ้าของชนเผ่า วัดเชน และวัดพระอิศวร เก่าแก่ มีชุมชน ชนเผ่าอาศัยอยู่มากมาย เช่นRabaris , BhilsและGarasias ชาว Garasia เป็นที่รู้จักจากเครื่องแต่งกายที่มีสีสัน ชาว Rabaris สำหรับเครื่องประดับเงิน และชาว Bhil และนำท่านเข้าพัก Darbargadh Poshina ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นวังและปัจจุบันเป็นโรงแรมมรดกที่ต้อนรับด้วยประตูขนาดใหญ่โดมขนาดใหญ่เสาและซุ้มประตูจำนวนมากลานสนามหญ้าสวนและระเบียงที่เป็นเจ้าของโดยทายาทแห่ง Chalukyas อาณาจักรของพวกเขาแพร่กระจายไปทั่วรัฐคุชราตและอินเดียตอนกลางในศตวรรษที่ 12 |
ค่ำ | บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม |
ที่พัก | Darbargadh Poshina หรือเทียบเท่า (คืนที่ 8) |
วันที่ 9 | โพชินา - อาห์เมดาบาด |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 9 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม นำท่านชมด้วยท้องถิ่น เพื่อความสะดวกในการเดินทางและสัมผ้สอย่าง ชุมชนชนเผ่าอันมีสีสัน การเยี่ยมชมบ้านของช่างปั้นหม้อที่สร้างม้าที่โดดเด่นเหล่านี้คือการได้เห็นวัฒนธรรมชนเผ่าซึ่งความงามเรียบง่ายของชีวิตหมู่บ้านดั้งเดิมมาผสมผสานกับของ หมู่บ้านชนเผ่า หมู่บ้านชนเผ่า Bhil ซึ่งยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมเอาไว้ทั้งการแต่งกาย และการดำรงชีวิตซึ่งเป็นสีสันของรัฐกุจราต และเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเผ่าซึ่งคุณจะได้พบกับม้าดินเผานับพันที่ยืนเรียงเป็นแถวเพื่อบูชาเทพธิดาท้องถิ่น หมู่บ้านใกล้เคียงมีม้าที่แกะสลักคล้ายกันเพื่อแสดงความเคารพต่อความศักดิ์สิทธิ์ของเธอ การเยี่ยมชมบ้านของช่างปั้นหม้อที่สร้างม้าที่โดดเด่นเหล่านี้คือการได้เห็นวัฒนธรรมชนเผ่านอกจากนี้นำ |
กลางวัน | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเดินทางไปยัง เมืองอาห์เมดาบาด (Ahmedabad) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง อาห์เมดาบาด Ahmedabad เป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าในรัฐกูจาราท Gujarat ซึ่งเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของอินเดียก็ว่าได้ เป็นเมืองที่ทันสมัยและต้องยอมรับว่า มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในเมืองนี้ จากนั้นนำท่านช้อปปิ้ง ณ ห้างสรรสินค้า Ahmedabad One Mall ศูนย์การค้าแห่งนี้เปิดขึ้นในเดือนตุลาคมปี 2011 และเป็นเมืองศูนย์กลางผสมที่ใหญ่ที่สุดใน Ahmedabad เดอะมอลล์ได้รับการตั้งชื่อว่า Alpha One |
ค่ำ | บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | FOUR POINT SHERATOHN HOTEL,AHMEDABAD หรือเทียบเท่า (คืนที่ 9) |
วันที่ 10 | อาห์เมดาบาด |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 10 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม นำท่านเข้าชม มัสยิดจามา Jama Masjid มัสยิดแห่งนี้ได้รับการดำริให้ก่อสร้างโดยสุลต่าน อาห์เหม็ด ซาห์ สร้างขึ้นในปี 1423 และใช้เวลาในการก่อสร้าง 13 ปี เมื่อเดินเข้าสู่มัสยิดผ่านหลังคาจะพบกับเสารองรับ 260 ต้นที่ได้รับการตกแต่งโดยไม่เหมือนกันเลย ใช้เวลาชมงานศิลปะทางศาสนาบนเสาแต่ละต้น เมื่อแหงนมองจะพบกับหลังคาโดม 15 แห่ง ซึ่งยอมให้แสงธรรมชาติ แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง มัสยิดตั้งอยู่ใจกลางศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของอัห์มดาบาด จากสุเหร่า มัสยิดจามาเปิดให้เข้าชมทุกวัน มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม และสามารถถ่ายรูปได้ สถานที่นี้มีผู้คนมาสักการะบูชาอยู่เสมอ ..... ****การเข้าชมภายในห้ามสวมกางเกงขาสั้นหรือชุดกระโปรงสั้น ควรถอดรองเท้าก่อนเข้า และวางไว้ที่บริเวณทางเข้า หอสวดมนต์หลักสามารถเข้าได้โดยผู้ชายเท่านั้น**** ชม Shri Swaminarayan Temple อุทิศให้ Narayan Dev วัดที่สวยงามแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1822 ตามคำแนะนำของ Swaminarayan ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนิกายฮินดูแห่ง Swaminarayan ประดับประดาไปด้วยสีสันของลานตาและงานแกะสลักอันประณีตวัดนี้เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของสถาปัตยกรรมในศตวรรษที่สิบเก้า ภายในถ้ำมีเทวรูปประดับด้วยเครื่องประดับโอ่อ่าและผ้าที่สวยงาม วัดดึงดูผู้คนนับล้านในวันรุ่งขึ้นหลังจาก Diwali ไปที่ดาร์ชัน วัดนี้ยังเป็นสำนักงานใหญ่ของ Nar Narayan Gadi ซึ่งทำให้เป็นวัดที่ได้รับการเคารพมากยิ่งขึ้นในหมู่ผู้ศรัทธา แกะสลักอย่างสวยงามจากไม้สักพม่ารายละเอียดที่ซับซ้อนในงานแกะสลักของวัดนี้ทำให้เป็นงานชิ้นเอกด้านวิศวกรรม สิ่งของส่วนบุคคลของสวามีนารายันยังได้รับการเก็บรักษาไว้เพื่อความปลอดภัยที่นี่ วัดแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของ 'Aarti' หรือบริการสวดมนต์ในตอนเช้าซึ่งเป็นการสวดที่ชวนให้หลงใหลกับพระเจ้า คอมเพล็กซ์วัดยังมีเกสต์เฮาส์หลายชั้นและคลินิกการแพทย์ภายในบริเวณเพื่อความสะดวกของผู้เข้าชม สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณหลายสีวัด Swami Narayan เป็นประสบการณ์ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า |
กลางวัน | บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคารเที่ยง |
บ่าย | นำท่านเยือน Manek Chowk เป็นหนึ่งในตลาดที่คึกคักมากที่สุดของเมืองอัห์มดาบาด และเป็นที่ที่คุณจะได้ลิ้มลองขนมหลากหลายรสชาติ เดินดูแผงขายอัญมณีและผ้าในตลาด ลองชิมขนมขบเคี้ยวรสจัดจ้าน และอาหารที่แสนอร่อยบนท้องถนน หรือเลือกที่จะชื่นชมกับอนุสรณ์สถานที่มีอายุเก่าแก่หลายศตวรรษ ตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงค่ำในตลาดกลางคืนที่ Manek Chowk คุณจะได้พบกับกิจกรรมมากมายอย่างต่อเนื่อง ที่นี่เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว และยังจุดศูนย์รวมที่โปรดปรานของบรรดาคู่รัก กลุ่มเพื่อน และครอบครัวชาวอัห์มดาบาด ตลาดที่เปิดทุกวันแห่งนี้จะเปิดขายของในช่วงเช้าจำพวกผักและเครื่องเทศ ฟังเสียงคนขายของหาบเร่ตะโกงนบอกราคาแก่บรรดาผู้ซื้อและผู้เดินเที่ยวชมตลาด....ลิ้มลองอาหารแบบดั้งเดิมบนถนนคุชราต เลือกซื้ออัญมณีและสิ่งทอ และชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่จัตุรัสที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้ในเมืองเก่าของอัห์มดาบาด...ได้เวลาอันสมควรเดินทางสู่ร้านอาหาร |
ค่ำ | บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร นำท่านเดินทางไปยัง สนามบินนานาชาติเมืองอาห์เมดาบัด |
วันที่ 11 | อาห์เมดาบาด - กรุงเทพ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 11 | |
00.55 น. | ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดย สายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG344 |
06.55 น. | เดินทางถึง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ .... |
ผู้ใหญ่ พักห้องละ 2 ท่าน ราคาท่านละ | 72,900 บาท |
พักเดี่ยว จ่ายเพิ่มท่านละ | 16,500 บาท |
ผู้ใหญ่ พักห้องละ 2 ท่าน ราคาท่านละ | 72,900 บาท |
พักเดี่ยว จ่ายเพิ่มท่านละ | 16,500 บาท |
การให้ทิปตามธรรมเนียมทางบริษัทฯมิได้มีผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของท่านเพื่อเป็นกำลังใจให้กับไกด์ และคนขับรถ
ยกเลิกช่วงเทศกาล
Address
53/286 Soi Nawamin 105, Nawamin Road, Nawamin, Bueng Kum, Bangkok 10240
จันทร์ - ศุกร์ : 09.00 - 18.00 น.
Contact Us
Hotline : ทัวร์ต่างประเทศ 081-873-6566
Hotline : ทัวร์ในประเทศ 061-519-6494
Social Network
Facebook : @DoubleEnjoyTravel
Line : @DoubleEnjoy
Instagram : @DoubleEnjoy
Youtube : Double Enjoy Travel