วันที่ 1 | สนามบินสุวรรณภูมิ - เฮลซิงกิ |
---|---|
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 1 | |
20.00 น. | พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตู 9 แถว G สายการบินฟินแอร์ (AY) เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวก |
23.25 น. | ออกเดินทางสู่ เมืองเฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์ โดย สายการบินฟินแอร์ เที่ยวบินที่ AY144 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน) |
วันที่ 2 | เฮงซิงกิ - วิลนีอุส - ย่านเมืองเก่า - มหาวิหารวิลนีอุส - ประตูเมือง |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 2 | |
05.55 น. | แวะเปลี่ยนเครื่องที่เมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ |
07.45 น. | ออกเดินทางสู่ เมืองวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนียโดย สายการบินฟินแอร์ (ไม่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) |
09.00 น. | เดินทางถึง สนามบินวิลนีอุส ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง ก่อนจะออกเดินทางเข้าสู่ ตัวเมือง วิลนีอุส (Vilnius) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดในประเทศสมค่าความเป็นเมืองหลวงศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งยังเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้เมื่อปี 1994 และหากต้องการเห็นภาพความสวยงามเหล่านี้ชัดเจนขึ้นต้องเข้าไปชมใน “ย่านเมืองเก่า” (Old Town) ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าที่ใหญ่ที่สุดในเขตยุโรปกลาง ทั่วบริเวณนี้มากมายไปด้วยอนุสาวรีย์ มีมหาวิหารประจำเมืองที่สร้างในสไตล์นีโอคลาสสิก มองเห็นหอระฆังเก่าแก่ประจำเมือง มีชุมชนชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งนอกเขตประเทศ ท่านจะได้เพลิดเพลินไปกับการชมอาคารและโบสถ์วิหารต่างๆ ที่มีอยู่ละลานตาทั้งที่ก่อสร้างด้วยศิลปะบารอกและโกธิก ทั่วพื้นที่กว่า 360 ตารางกิโลเมตรของวิลนีอุสจึงเป็นเหมือนสวรรค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบและหลงใหลในเสน่ห์เมืองเก่าเช่นนี้ นำท่านถ่ายรูปด้านหน้า “มหาวิหารแห่งวิลนีอุส” (Vilnius Cathedral)สิ่งก่อสร้างที่มีรูปทรงเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ มีบันทึกประวัติศาสตร์กล่าวว่าในครั้งแรกของการก่อสร้างมหาวิหารแห่งวิลนีอุสเมื่อปี 1251 กลายเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของวิลนีอุส มหาวิหารแห่งนี้นอกจากจะเคยถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนามาแล้วในอดีต ปัจจุบันจัดพื้นที่ภายในให้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาภาพวาดโบราณที่ได้ชื่อว่ามีความเก่าแก่ที่สุดในลิธัวเนียเพราะถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 14 |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านชม ประตูเมือง (Gate of Dawn) ที่มองแวบแรกอาจคิดว่าเป็นตรอกอาคารทั่วไปเพราะถูกขนาบด้วยอาคารทั้งสองข้าง แต่จริงๆ แล้วนี่คือความคลาสสิกของอดีตที่แฝงอยู่ในรูปทรงอาคารซึ่งดูเหมือนเป็นประตูธรรมดาดังที่เห็นประตูเมืองแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองโบราณ ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1503-1522 เพื่อเป็นปราการสำคัญในการป้องกันเมืองจากการโจมตีของข้าศึกศัตรู ชาววิลนีอุสจะรู้จักประตูเมืองแห่งนี้ในชื่อ “Medininkai” เพราะหากเดินลอดใต้ซุ้มประตูผ่านเข้าสู่ด้านในเราก็จะได้พบกับหมู่บ้าน Medininkaiนั่นเอง ซึ่งจากเดิมที่มีประตูเมืองถึง 10 แห่ง หลังจากมีคำสั่งจากทางการให้ทำลายประตูอีก 9 แห่งทิ้งไปก็เหลือเพียงประตูแห่งนี้เพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ หากเดินลอดประตูเข้าไปภายในจะมีโถงเล็กๆ ที่ชั้นบนกรุด้วยกระจกสี มีโบสถ์พระแม่มารีผู้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเมือง ซึ่งมักจะมีผู้คนผ่านเข้ามาอธิษฐานขอพรกันอยู่ตลอด |
เย็น | รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | ณ Best Western Vilnius หรือระดับเดียวกัน |
วันที่ 3 | วิลนีอุส - ทราไก - ปราสาททราไก - เคานัส - ย่านเมืองเก่าเคานัส |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 3 | |
เช้า | บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองทราไก (Trakai)ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของลิธัวเนียมาก่อน ปัจจุบันเมื่อไม่ได้ดำรงสถานะเมืองหลวงแล้ว ทราไกเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ น่าอยู่น่าแวะไปเที่ยวมาก และยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มากด้วยเสน่ห์แห่งทะเลสาบน้อยใหญ่กว่า 100 แห่ง ทั้งยังมีเกาะอีกกว่า 20 แห่ง ทราไกเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และได้รับความนิยมอย่างมากในการท่องเที่ยว นำท่านเข้าชมภายใน ปราสาททราไก (Trakai Island Castle)ปราสาทหินที่สร้างโดยดยุคผู้ครองทราไกในอดีตเมื่อราวศตวรรษที่ 14 เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนในฤดูร้อน และก็สร้างอยู่บนทำเลดีเยี่ยมสำหรับการระวังภัย นั่นคือบนเกาะเล็กๆ ในทะเลสาบเกรฟ (Lake Galve) ปราสาทหลังนี้เคยเป็นที่อยู่ของดยุคแห่งทราไกมาก่อน แต่ต่อมาได้เปลี่ยนสภาพเป็นคุกสำหรับกักขังนักโทษจากการที่มีสภาพเป็นเกาะกลางทะเลสาบนั่นเอง ปัจจุบันมีการสร้างสะพานเชื่อมสำหรับการข้ามไปมาระหว่างแผ่นดินใหญ่และเกาะ ความสวยงามที่ปะทะสายตานักท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่ในทะเลสาบเกรฟไปจนถึงตัวปราสาทที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิก หากไม่เลือกเดินข้ามสะพานก็สามารถล่องเรือใบไปจอดเทียบท่าหน้าปราสาทได้เลย และยังเป็นแหล่งทำกิจกรรมทางน้ำอีกด้วย โดยรอบปราสาทซึ่งเป็นพื้นที่บนเกาะนั้นจะเป็นสวนเขียวๆ มองดูสบายตา ส่วนภายในปราสาทนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมท้องพระโรง ห้องเก็บสมบัติล้ำค่าและคุกใต้ดิน ได้นำท่านเดินทางสู่ เมืองเคานัส (Kaunas) เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศลิทัวเนีย เมืองเคานัสนี้ถือเป็นเมืองศูนย์กลางในภูมิภาคนี้มาตั้งแต่ช่วงยุคศตวรรษที่ 15 เป็นเมืองที่มีความสำคัญในด้านการเป็นเมืองสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ เป็นเมืองศูนย์กลางทั้งด้านเศรษฐกิจการค้า การศึกษา และวัฒนธรรมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้เมืองเคานัสยังเคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของลิทัวเนีย และเคยได้ชื่อว่า “ลิตเติ้ล ปารีส” ด้วยความร่ำรวยทั้งด้านวัฒนธรรม แฟชั่น การค้า และการศึกษาที่คล้านคลึงกับปารีสอย่างมาก |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเที่ยวชม ย่านเมืองเก่าเคานัส (Kaunas Old Town) ที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมือง มากมายด้วยแลนด์มาร์กและสิ่งก่อสร้างที่ได้ถูกอนุรักษ์เอาไว้อย่างดีตั้งแต่ช่วงยุคกลาง ท่านจะได้เห็นศิลปะจากหลายยุคไม่ว่าจะเป็น โกธิค เรเนสซองส์ และบาโรค ที่ผสมผสานเข้ากันได้อย่างดีในย่านนี้ท่านจะได้เห็น ศาลาว่าการเมืองเคานัส (Kaunas Town Hall) อาคารโบราณสีขาวที่โดดเด่นด้วยหอคอยสูงถึง 53 เมตร เป็นอาคารที่สูงที่สุดในย่านเมืองเก่าแห่งนี้ ศาลาว่าการได้ถูกเริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกเมืองปี 1542 มีการสร้างเสริมเพิ่มเติมและบูรณะใหม่หลายต่อหลายครั้ง แต่ศาลาว่าการแห่งนี้ก็เป็นศูนย์กลางเมืองมาตั้งแต่ช่วงยุคกลาง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ชุมนุม ซื้อขายแลกเปลี่ยน จัดงานรื่นเริง จัดงานแต่งงาน หรือกระทั่งพิธีสำคัญทางการเมืองก็มักจัดขึ้นที่นี่ ชม มหาวิหารเคานัส (Kaunas Cathedral) มหาวิหารสำคัญประจำเมืองแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐในสไตล์โกธิคตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 15 เป็นโบสถ์แห่งนิกานโรมันคาทอลิกที่อุทิศแด่ เซนต์ปีเตอร์และเซนต์พอล และได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของลิทัวเนียอีกด้วยนำท่านชมอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญ ปราสาทเคานัส (Kaunas Castle) ปราสาทโบราณที่สันนิษฐานว่าได้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 14 สวยสง่าด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิค ตัวปราสาทตั้งอยู่ใกล้กับจุดบรรจบของสองแม่น้ำ ออกแบบให้เป็นทั้งป้อมปราการป้องกันเมืองและปราสาทขนาดใหญ่ |
เย็น | รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร |
พักที่ | ณ Europa Royale Kaunas หรือระดับเดียวกัน |
วันที่ 4 | เคานัส - ลัตเวีย - พระราชวังรูนดาเล่ - ริก้า - ย่านเมืองเก่าริก้า |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 4 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านข้ามพรมแดนสู่ ประเทศลัตเวีย (Latvia) สู่เมือง ฟิลส์รันดาเล่ (Pilsrundale) เพื่อเข้าชม พระราชวังรูนดาเล่ (Rundale Palace)สิ่งก่อสร้างที่สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมบารอกและรอกโคโค ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน“Francesco Bartolomeo Rastrelli”ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เคยออกแบบพระราชวังเฮอร์มิเทจในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแห่งรัสเซีย สำหรับพระราชวังรูนดาเล่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนของดยุคแห่งคอร์ทแลนด์ (Dukes of Courtland) “เอิร์น โจฮัน ไบรอน” ในศตวรรษที่ 18ภายในพระราชวังรูนดาเล่จะเต็มไปด้วยห้องต่างๆ กว่า 200 ห้อง แต่จะเปิดให้เข้าชมแค่เพียงห้องหลักๆ เท่านั้น และที่ไม่ควรพลาดชมก็คือ “ห้องเต้นรำ” ที่มีไว้สำหรับค่ำคืนแห่งความรื่นเริงของงานเลี้ยงบุคคลระดับสูง ถ้าเรามองไปรอบห้องจะเห็นว่าเน้นการใช้สีขาวโพลนไปทั้งห้องเพื่อให้ทุกค่ำคืนนั้นมีจุดสนใจอยู่ที่เหล่าผู้ร่วมงานทั้งหลายที่จะเข้ามาในงานด้วยเครื่องแต่งกายที่สวยงาม แต่จะไปเน้นความโดดเด่นของห้องตามเพดานและมุมห้องด้วยรูปสลักมากกว่า |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านสู่เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งในแถบ ทะเลบอลติก เมืองริก้า (Riga)เพราะทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่บนอาคารสถานที่ทั้งหลาย เราสามารถชมศิลปะโกธิก บารอก และอาร์ทนูโวได้อย่างเต็มอิ่มที่ริก้าแห่งนี้ ว่ากันว่าในตัวเมืองริก้าคือศูนย์รวมของอาคารสถาปัตยกรรมอาร์ทนูโวที่มากมายที่สุดในยุโรปซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อกว่า 800 ปีที่แล้วในขณะเดียวกันช่วงศตวรรษที่ 14-15 ริก้ามีชื่อเสียงในด้านการเป็นเมืองท่าทางทะเลที่มีการติดต่อทำการค้ากับต่างชาติ ช่วงนั้นจะมีพ่อค้าจากหลายประเทศใกล้เคียงเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันค่อนข้างมาก กลายเป็นเสน่ห์ดีๆ สำหรับริก้าที่มากมายด้วยประวัติศาสตร์ เมืองเก่า ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรมและแหล่งช้อปปิ้งสินค้าเก่าราคาถูกมากมาย นำท่านสู่ ย่านเมืองเก่าริก้า (Riga Old Town) ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเดิมทีเมืองริก้าถูกสร้างให้เป็นปราการด่านแรกที่ยิ่งใหญ่เพื่อพร้อมป้องกันข้าศึกด้วยการก่อกำแพงอิฐสูง 10 เมตร หนา 3 เมตรและยาวถึง 2 กิโลเมตร รอบกำแพงสร้างหอสังเกตการณ์ไว้ 29 จุด จนราวปี 1422 ก็มีการสร้างป้อมสูง 4 ชั้นขึ้นเพิ่มเติมพร้อมกับการขุดคูล้อมเมืองกว้าง 90 เมตรเพื่อให้การเข้าถึงของข้าศึกทำได้ยากเย็นขึ้น และยังประทับปืนใหญ่ไว้เป็นระยะ เที่ยวชมย่าน โดมสแควร์ (Dome Square) ลานกว้างที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง และนี่คือที่ตั้งของ วิหารแห่งริก้า (Riga Dome Cathedral)ที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองนี้ และยังถือเป็นวิหารในยุคกลางที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแถบบอลติกอีกด้วย วิหารแห่งริก้าสร้างขึ้นเมื่อปี 1211 ต่อมาในปี 1226 วิหารแห่งริก้าได้ถูกต่อเติมให้ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และอลังการขึ้นอีกในปี 1595 มีหอคอยสูง 90 เมตร แต่ก็ยังคง ทั้งยังเป็นวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองริก้าแห่งนี้ความสวยงามอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ชม “อนุสาวรีย์อิสรภาพ” (Freedom Monument) ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพของชาวลัตเวียที่หลุดพ้นจากชาติมหาอำนาจทั้งหลาย อนุสาวรีย์ turaida castleแห่งนี้สร้างในปี 1935 เป็นรูปหญิงสาวนามว่า “Milda” กำลังชูดาว 3 ดวงไว้เหนือศีรษะจนสุดแขน มีความสูงประมาณ 42 เมตร ซึ่งดาวทั้งสามนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนการรวมตัวกันของภูมิภาคทั้งสามของลัตเวียซึ่งก็คือ Kurzeme, Vidzeme และ Latgale ผ่านชม ปราสาทริก้า (Riga Castle)ปราสาทสวยหลังใหญ่ริมแม่น้ำดัวกาว่า ตัวปราสาทสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1330 แต่สร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 แม้จะผ่านการบูรณะมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ปราสาทริก้าก็ยังสวยและยิ่งใหญ่ไม่เสื่อมคลาย ปัจจุบันปราสาทริก้าเป็นที่พำนักของประธานาธิบดีของลัตเวีย และเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ |
เย็น | รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | ณ Riga island Hotel หรือระดับเดียวกัน |
วันที่ 5 | ริก้า - ชิกุลด้า - ปราสาททูไรด้า - พาร์นู - ทาลลินน์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 5 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองชิกุลด้า (Sigulda) เมืองเล็กๆ เงียบสงบที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองริก้าไม่ไกล นำท่านเข้าชม ปราสาททูไรด้า (Turaida Castle) ปราสาทหลังใหญ่นี้ได้ถูกสร้างขึ้นในปี 1214 เพื่อเป็นป้อมปราการของเมือง ตัวปราสาทสร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดงตามสไตล์บอลติกโบราณ ส่วนหอคอยทั้งสองนั้นได้ถูกสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลังพร้อมการต่อเติมตัวปราสาทจนยิ่งใหญ่ดังปัจจุบัน ตัวปราสาทได้ถูกใช้งานมาอย่างต่อเนื่องจนเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1776 หลังจากนั้นก็ถูกทิ้งร้าง จนปี 1976 มีนักโบราณคดีได้เข้ามาทำการบูรณะขึ้นใหม่ให้คืนสภาพเหมือนเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในนักท่องเที่ยวได้เข้าชมภายในได้ |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านสู่ ประเทศเอสโตเนีย (Estonia) ที่เมืองตากอากาศชื่อดังในแถบทะเลบอลติก และเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวมาก เมืองที่ว่านี้ก็คือ “ปาร์นู” (Parnu) เมืองแห่งการพักผ่อน เมืองแห่งการทำกิจกรรมวันหยุดริมชายหาด ท่ามกลางการเที่ยวชมแนวอาคารบ้านเรือนโบราณสไตล์อาร์ทนูโวและยังมีมุมให้ช้อปปิ้งในย่านตัวเมืองด้วย ส่วนโรงแรมและร้านค้าร้านอาหารก็มีไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมายอยู่แล้ว ปาร์นูเกิดเป็นเมืองขึ้นมาก็ราวปี 1251 ในอดีตปาร์นูเป็นเมืองท่าที่สำคัญของเอสโตเนีย จนปัจจุบันก็มีความสำคัญในแง่การเป็นเมืองรีสอร์ทที่สามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวให้กับประเทศได้อย่างมากมาย ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวหนาตาขึ้นก็ในช่วงฤดูร้อนราวเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมของทุกปีนำท่านเดินเล่นชมเมือง และชม บ้านไม้ (Wooden House) บ้านที่ถูกสร้างด้วยสไตล์เอสโตเนียแบบดั้งเดิมที่ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไปในตัวเมืองปาร์นู นำท่านเดินทางสู่ เมืองทาลลินน์ (Tallinn) ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่สวยงามและเก่าแก่ที่สุดในยุโรปเหนือ มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีกำแพงเมืองเก่าและป้อมปราการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวท่ามกลางประวัติศาสตร์ชาติที่มีรากฐานการคงอยู่ของมนุษย์มานานกว่า 3,000 ปี เอสโตเนียซึ่งเป็นดินแดนทรงคุณค่าจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ในปี 1997 ในอีกด้านหนึ่งเอสโตเนียได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเทพนิยาย เพราะไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็จะสวยงามไปด้วยยอดโดมของอาคารและโบสถ์วิหารต่างๆ ความสวยงามบนตำแหน่งเหมาะๆ ของเอสโตเนียทำให้ในอดีตทั้งสวีเดน เยอรมัน เดนมาร์ก ฟินแลนด์และรัสเซียต่างก็ต้องการได้ไว้เป็นสมบัติของตัวเองด้วยเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศเล็กๆ แห่งนี้เป็นเมืองตากอากาศจากการที่มีชายหาดสวยแต่เงียบสงบซึ่งโดดเด่นที่สุดในแถบทะเลบอลติก และในแต่ละฤดูก็จะให้บรรยากาศที่ต่างกันไปสำหรับการพักผ่อนของชาวเมือง |
เย็น | รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | ณ Hotel Europa หรือระดับเดียวกัน |
วันที่ 6 | ทาลลินน์ - ย่านเมืองเก่าทาลลินน์ - ย่านทูมเปีย - เฮลซิงกิ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 6 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเที่ยวชมเมือง ทาลลินน์ (Tallinn) ที่บริเวณ ย่านเมืองเก่า (Old Town)ที่นี่เป็นแหล่งชมสถาปัตยกรรมโบราณของเก่าของแก่ในทาลลินน์ เราจะได้พบกับอนุสาวรีย์และสิ่งก่อสร้างที่มีมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 14 มีโบสถ์เก่า บ้านเรือนเก่าแต่สวยงาม มีตรอกเล็กๆ นำเดินไปยังหมู่บ้านที่ดูมีเสน่ห์มากจนเหมือนเรากำลังย้อนยุคกลับไปในอดีต ขณะเดียวกันก็มีการผสมผสานความทันสมัยแฝงไว้ด้วยนานาร้านค้า ร้านอาหาร เดินเที่ยวชมใน “ย่านทูมเปีย” (Toompea) จากการที่อดีตเคยเป็นย่านอยู่อาศัยของคนร่ำรวยระดับเจ้าเมือง เหล่าขุนนางและพ่อค้าวาณิชทั้งหลาย ทำให้นับถึงวันนี้ย่านทูมเปียจึงเต็มไปด้วยปราสาทเก่าสูงใหญ่ซึ่งเคยเป็นบ้านพักของเจ้าเมืองเดิมในอดีต และถูกปรับสภาพให้เป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ เป็นศูนย์กลางการบริหารประเทศ ชม โบสถ์อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี้ (Alexander Nevsky Cathedral) ซึ่งเป็นโบสถ์รัสเซียนออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอสโตเนียและยังเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในทาลลินน์อีกด้วย สร้างตามพระบัญชาของ “ชาร์ล อเล็กซานเดอร์ที่ 3” ในระหว่างปี 1894-1900 โดยมีช่างฝีมือจากนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นผู้รับพระบัญชานั้นในการออกแบบ และโบสถ์อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี้ยังเคยอยู่ในการดูแลของคณะสงฆ์จากมอสโคว์มาก่อนเพราะถูกสร้างขึ้นในยุคที่เอสโตเนียยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซีย โบสถ์อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงสถาปัตยกรรมที่สวยงามได้อย่างโดดเด่นที่สุดอีกแห่งหนึ่งในยุโรปตัวอาคารโบสถ์ประกอบด้วย 5 โดมทรงหัวหอม และจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของโบสถ์หลังนี้คือบนตัวหอคอยจะมีระฆังแขวนไว้ถึง 11 ใบ ซึ่งใบที่มีเสียงดังก้องกังวานและใหญ่ที่สุดจะมีน้ำหนักถึง 15 ตัน |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่าน ขึ้นเรือเฟอร์รี่ เพื่อข้ามฟากไปยัง เมืองเฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์ (Finland) เมืองหลวงปัจจุบันของฟินแลนด์และยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอีกด้วย เฮลซิงกิเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ มีวัฒนธรรมโบราณส่งผ่านมาในรูปแบบของสถาปัตยกรรมสวยๆ ให้ได้เห็นกันตามหน้าโบสถ์วิหารทั่วไป มีรูปปั้น รูปสลัก ประติมากรรมต่างๆ มากมายจากการแผ่อิทธิพลของจักรวรรดิรัสเซียที่ยิ่งใหญ่ในอดีต บรรยากาศของการปะปนกันระหว่างความเป็นเมืองเก่าและเมืองใหม่ผสมกลมกลืนกลายเป็นเสน่ห์ให้เฮลซิงกิพร้อมๆ กับที่เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีติดอันดับต้นๆ ของโลกด้วย ในอีกด้านหนึ่ง แหล่งช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงของเฮลซิงกิก็มีอยู่ไม่น้อยไปกว่าเมืองอื่นทั่วยุโรป ประเภทสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังระดับโลกนั้นมีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เป็นหน้าเป็นตาของฟินแลนด์เห็นจะไม่พ้นสินค้าพื้นเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะหนังกวางเรนเดียร์ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ อิสระช้อปปิ้งถนนมานไฮม์ (Manheim Street)เพื่อพบกับศูนย์รวมนานาสินค้าแบรนด์เนมที่มีอยู่ตลอดแนวถนน ถนนสายนี้เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่รอให้นักท่องเที่ยวแวะเข้าไปช้อปกันให้สนุก จะหมดเนื้อหมดตัวกันก็คราวนี้ แต่ก็ใช่จะมีดีแค่การเป็นย่านช้อปปิ้ง เพราะถนนสายนี้จะมีอาคารที่มากด้วยสถาปัตยกรรมสวยๆ ให้เราได้ชมถนนหนทางที่กว้างขวาง ไม่แออัดด้วยรถและผู้คนทำให้แม้จะเดินเล่นก็ยังสุนทรีย์ ได้บรรยากาศดีๆ ของการชมเมืองแบบสบายอกสบายใจ ซึ่งก็เป็นอีกมุมหนึ่งในเฮลซิงกิที่นักท่องเที่ยวต่างชาติควรเข้ามาทำความรู้จักและสัมผัสกับความเป็นเมืองหลวงของฟินแลนด์แห่งนี้ |
เย็น | รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | ณ Cumulus Resort Airport Congress หรือระดับเดียวกัน |
วันที่ 7 | เฮลซิงกิ - เซเนท สแควร์ - มหาวิหารเฮลซิงกิ - มหาวิหารอุสปนสกี้ - สนามบิน |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 7 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม นำท่านเที่ยวชม เมืองเฮลซิงกิ เซเนท สแควร์ (Senate Square) จัตุรัสกลางเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเฮลซิงกิอยู่ที่นี่ลานกว้างศูนย์กลางทุกกิจกรรมของเมืองและเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเฮลซิงกิ และถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องเดินทางเข้ามาชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่จุดนี้มักเป็นจุดแรกในการเริ่มต้นเที่ยวชมเฮลซิงกิ ใจกลางเซเนท สแควร์สง่างามโดดเด่นด้วยอนุสาวรีย์พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 หนึ่งในกษัตริย์แห่งราชวงศ์โรมานอฟผู้ทรงได้รับการถวายฉายาว่า “ซาร์ผู้ให้อิสรภาพ” จากการประกาศเลิกทาสให้เอกราชแก่ชนชาวรัสเซีย แต่กลับถูกลอบปลงพระชนม์ในปี 1881 จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้นในปี 1894 เพื่อแทนการรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ที่ทรงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับรัสเซียซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงถึงการพัฒนาฟินแลนด์ด้วย นำท่านถ่ายรูปด้านหน้า มหาวิหารเฮลซิงกิ (Helsinki Cathedral)อาคารหลังสีขาวที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อยืนอยู่บนเซเนท สแควร์ แต่เดิมเรียกมหาวิหารแห่งนี้ว่า “โบสถ์นิโคลัส” ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญอีกแห่งของเมือง ตัวอาคารหลังใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ ตัดกับสีเขียวมรกตของหลังคาโดมเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นงามอีกแห่งของเฮลซิงกิที่ไม่ควรพลาดชมเด็ดขาดมหาวิหารเฮลซิงกิเป็นศาสนสถานแห่งคริสตจักรนิกายลูเธอรันที่ออกแบบสร้างด้วยสไตล์นีโอคลาสสิก และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1852 ภายหลังมีการบูรณะและสร้างต่อเติมทั้งส่วนของโดมและใต้อาคารมหาวิหาร ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมาก แล้วนำท่านแวะไปถ่ายรูปด้านหน้า มหาวิหารอุสเปนสกี้ (Uspenski Church) โบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตกซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1868 และสร้างเสร็จในอีก 6 ปีหลังจากนั้น ถือเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อแทนความสัมพันธ์ที่มีต่อรัสเซียซึ่งเคยเข้ามาปกครองฟินแลนด์นานเกินกว่า 100 ปี ทั้งภายนอกและภายในมหาวิหารแห่งนี้จึงสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียเกือบทั้งหมด เพราะสร้างด้วยสไตล์มหาวิหารเก่าที่เคยมีในกรุงมอสโกเมื่อราวศตวรรษที่ 16 โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้ใครๆ ต่างก็จำได้ด้วยโดมทองบนยอดหลังคาเขียวมรกตคลุมอาคารอิฐสีน้ำตาลแดงเอาไว้ แต่ก็สร้างเสร็จหลังจากที่สถาปนิกผู้ออกแบบเสียชีวิตไปแล้ว มหาวิหารอุสเปนสกี้ถูกสร้างอยู่บนหน้าผาสูงแถบชานเมืองที่เป็นเหมือนจุดชมวิวเมืองได้ทั่วและกว้างไกล |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | ได้เวลาอันสมควรนำทุกท่านเดินทางสู่ สนามบิน เดินทางกลับประเทศไทย |
17.30 น. | ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบินฟินแอร์ เที่ยวบินที่ AY141 แวะเปลี่ยนเครื่อง(บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน) |
วันที่ 8 | กรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 8 | |
07.15 น. | เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิ์ภาพพร้อมความประทับใจ |
1. บริษัทฯ สงวนสิทธิ์ในการที่จะไม่รับผิดชอบต่อค่าชดเชยความเสียหาย อันเกิดจากเหตุสุดวิสัยที่ทาง บริษัทฯ ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การนัดหยุดงาน, จลาจล,การล่าช้าหรือยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงกรณีที่กองตรวจคนเข้าเมืองไม่อนุญาตให้เดินทางออกหรือกองตรวจคนเข้าเมืองของแต่ละประเทศไม่อนุญาตให้เข้าเมือง รวมทั้งในกรณีที่ท่านจะใช้หนังสือเดินทางราชการ (เล่มสีน้ำเงิน) เดินทาง หากท่านถูกปฏิเสธการเดินทางเข้าหรือออกนอกประเทศใดประเทศหนึ่ง
2. บริษัทฯ สงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมรายการท่องเที่ยว โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
3. บริษัทฯ สงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าบริการ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
4. กรณีที่คณะไม่ครบจำนวน 15 ท่าน ทางบริษัทฯ สงวนสิทธิ์ในการงดออกเดินทาง โดยทางบริษัทฯ จะแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า 14 วันก่อนการเดินทาง
5. เมื่อท่านทำการซื้อโปรแกรมทัวร์ ทางบริษัทฯ จะถือว่าท่านรับทราบและยอมรับเงื่อนไขของหมายเหตุทุกข้อแล้ว
ในกรณีที่ลูกค้าต้องออกตั๋วโดยสารภายในประเทศกรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ก่อนทุกครั้ง มิฉะนั้นทางบริษัทฯจะไม่ขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
โปรแกรมและรายละเอียดของการเดินทางอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะอากาศและเหตุสุดวิสัยต่าง ๆ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าโดยทางบริษัทฯ จะคำนึงถึงผลประโยชน์และความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทางเป็นสำคัญ
*** ยื่นวีซ่าเดี่ยวแสดงตนที่สถานทูตเยอรมนี ***
ใช้เวลาทำการอนุมัติวีซ่านับจากวันยื่นประมาณ 7 วัน
เอกสารกรุณาเตรียม 1 ชุด ยกเว้น เอกสารที่ออกจากทางราชการและทางธนาคารขอเป็นตัวจริง 1 ชุด และสำเนา 1 ชุด
ในวันยื่นวีซ่าหนังสือเดินทางต้องนำส่งเข้าสถานทูต และระหว่างรอผลการอนุมัติวีซ่า ไม่สามารถดึงหนังสือเดินทางออกมาได้
1.หนังสือเดินทาง (Passport) หนังสือเดินทาง ต้องมีหน้าเหลือสำหรับประทับวีซ่าอย่างน้อย 2 หน้า อายุการใช้งานเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันเดินทางกลับ และหนังสือเดินทางจะต้องไม่ชำรุด(หนังสือเดินทางเล่มเก่า กรุณานำมาประกอบการยื่นวีซ่าด้วย)
2.รูปถ่าย รูปถ่ายสี หน้าตรงขนาด 1.5x2 นิ้ว ใบหน้า 90 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่รูปถ่าย จำนวน 2 ใบ ห้ามตกแต่งรูป ถ่ายจากร้านถ่ายรูปเท่านั้น ห้ามสวมแว่นตา หรือเครื่องประดับ , ต้องไม่เป็นรูปสติ๊กเกอร์ แนะนำให้ลูกค้าไปถ่ายในสถานทูต 180 บาท จำนวน 4 รูปนะคะ เพื่อความถูกต้อง
3. หลักฐานการทำงาน
- เจ้าของกิจการ หนังสือรับรองการจดทะเบียน(DBD)ที่มีชื่อของผู้เดินทางเป็นกรรมการหรือหุ้นส่วน อายุไม่เกิน 3 เดือน หรือ สำเนาใบทะเบียนการค้า(พค.0403)
- กิจการไม่จดทะเบียน จดหมายชี้แจงการทำงาน พร้อมเอกสารประกอบ เช่น รูปถ่ายร้าน สัญญาเช่าที่ โฉนดที่ดิน เป็นตัน
- เป็นพนักงานหนังสือรับรองการทำงาน จากบริษัทฯ ระบุตำแหน่ง, เงินเดือน, วันเริ่มทำงาน (ขอเป็นภาษาอังกฤษมีอายุ 1 เดือน ชื่อ-สกุลต้องตรงตามหน้าพาสปอร์ต
ใช้คำว่า “TO WHOM IT MAY CONCERN” แทนชื่อสถานทูตที่ยื่น)
- กรณีเป็นนักเรียน หรือ นักศึกษา ใช้หนังสือรับรองจากทางโรงเรียนหรือสถาบันที่กำลังศึกษาอยู่เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น (สถานทูตไม่รับเอกสารที่เป็นบัตรนักเรียน ไม่ว่าเป็นช่วงปิดเทอมและต้องมีอายุไม่เกิน 1 เดือนก่อนยื่นวีซ่า)
- กรณีที่เกษียณอายุจากงานราชการ กรุณาแนบสำเนาบัตรข้าราชการบำนาญมาด้วย
4.หลักฐานการเงิน
4.1 สำเนาสมุดเงินฝาก ออมทรัพย์ ส่วนตัวของผู้เดินทาง ถ่ายสำเนาย้อนหลัง 6 เดือน รบกวนลูกค้าทำรายการเดินบัญชี โดยการ ฝากหรือถอน ก่อน แล้วค่อยปรับยอดเงินในบัญชีภายใน 15 วัน ก่อนวันนัดสัมภาษณ์
ยอดเงินสุดท้ายที่ลูกค้าอัพเดท 15 วันก่อนยื่น ต้องมียอดเงินที่ครอบคลุมค่าทัวร์ด้วยนะคะ
*** ไม่รับพิจารณาบัญชีกระแสรายวัน และฝากประจำ ***
• หากมีการต่อเล่มจากสมุดเล่มเก่า กรุณาถ่ายสำเนามาทั้ง 2 เล่ม
• หากในสำเนาบัญชีบุ๊คแบ๊งค์ของลูกค้ามีการแสดงยอดเงินไม่ครบ 6 เดือนล่าสุด (เดือนต่อเนื่องด้วยนะคะ) แนะนำให้ขอเป็น STATEMENT จากทางธนาคาร พร้อมปรับยอดเงิน 15 วันก่อนวันนัดสัมภาษณ์
4.2 หากต้องรับรองค่าใช้จ่ายให้บุคคลอื่นในคณะ ต้องทำเป็นหนังสือรับรองค่าใช้จ่าย (BANK GUARANTEE) ที่ออกจากทางธนาคารเท่านั้น ระบุชื่อเจ้าของบัญชี และบุคคลที่เจ้าของบัญชีออกค่าใช้จ่ายให้โดยชัดเจนฉบับภาษาอังกฤษ ต้องสะกดชื่อ-สกุลให้ตรงตามหน้าพาสปอร์ต
5.เอกสารส่วนตัว ถ่ายเอกสารเป็นสำเนา
- ทะเบียนบ้าน
- บัตรประชาชน
- สูติบัตร (กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี)
- ทะเบียนสมรส/ทะเบียนหย่า/มรณะบัตร (ถ้ามี)
- ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามีการเปลี่ยน)
6. กรณีเด็กอายุไม่ถึง 20 ปี ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศพร้อมบิดา มารดา
- หากเด็กเดินทางไปกับบิดา จะต้องมีหนังสือยินยอมจากมารดา จากอำเภอต้นสังกัด (โดยมารดาจะต้องคัดหนังสือยินยอมระบุให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับบิดา) พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตมารดามาด้วย
- หากเด็กเดินทางกับมารดา จะต้องมีหนังสือยินยอมจากบิดา จากอำเภอต้นสังกัด (โดยบิดาจะต้องคัดหนังสือยินยอมระบุให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับมารดา) พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตบิดามาด้วย
- หากเด็กไม่ได้เดินทางพร้อมกับบิดาและมารดา ทั้งบิดาและมารดาจะต้องคัดหนังสือระบุยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับใคร มีความสัมพันธ์เป็นอะไรกันกับเด็ก จากอำเภอต้นสังกัด พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตบิดาและมารดา
- กรณีเด็กที่บิดา-มารดาหย่าร้าง จะต้องแนบสำเนาใบหย่า และมีการสลักหลังโดยมีรายละเอียดว่าฝ่ายใดเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
***กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี บิดาและมารดาเซ็นชื่อรับรองในแบบฟอร์มสมัครวีซ่า พร้อมกับเดินทางมาสัมภาษณ์กับบุตรที่สถานทูตด้วย
7. กรณีลูกค้าเคยมีวีซ่าเชงเก้น ขอความกรุณารบกวนถ่ายสำเนาหน้าวีซ่าเชงเก้นแนบมาด้วย
เอกสารยื่นวีซ่าอาจมีการปรับเปลี่ยนและขออัพเดทเพิ่มเติมได้ทุกเวลา หากทางสถานทูตแจ้งขอเพิ่มเติม
Address
53/286 Soi Nawamin 105, Nawamin Road, Nawamin, Bueng Kum, Bangkok 10240
จันทร์ - ศุกร์ : 09.00 - 18.00 น.
Contact Us
Hotline : 081-873-6566, 099-191-9288
Social Network
Facebook : @DoubleEnjoyTravel
Line : @DoubleEnjoy
Instagram : @DoubleEnjoy
Youtube : Double Enjoy Travel